สมุนไพรเว็บบล็อก
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป บริโภคมากเสี่ยงโรค
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยด้านหัวใจและหลอดเลือดเบย์เลอร์ ในรัฐเทกซัส ของสหรัฐ เปิดเผยผลการวิจัยที่บ่งชี้ว่า ผู้ที่รับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2-3 มื้อต่อสัปดาห์ เสี่ยงต่อการทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายและการทำงานของหัวใจผิดปกติ
ซึ่งเป็นอาการที่ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และเบาหวานได้ อีกทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังมีโซเดียมหรือเกลือ และไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพในปริมาณที่สูงมาก อย่างไรก็ดี ชาวเกาหลีใต้ที่ขึ้นชื่อเรื่องการนิยมรับประทานบะหมี่สำเร็จรูป บอกว่าไม่กังวลเรื่องพิษภัยจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะมันทั้งสะดวก อร่อย ราคาไม่แพง และหาซื้อง่ายที่สุด
จึงไม่น่าแปลกใจที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะเป็นสินค้าที่มียอดขายสูงที่สุดใน เกาหลีใต้ ขณะที่ชาวจีนเองก็นิยมรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปเหมือนกัน โดยในปีที่ผ่านมา ชาวจีนรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปถึง 46,200 ล้านซอง คิดเป็นร้อยละ 44 ของบะหมี่สำเร็จรูปที่ผลิตทั่วโลกต่อปี
ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
หันมาใส่ใจสุขภาพแบบ เจสซี่
เป็นดาราสาวที่มีงานละครเข้ามาตลอดสำหรับ “เจสซี่” เจสสิกา ภาสะพันธุ์ ผลงานที่ผ่านมาของเธอ ละครเรื่อง ปฐพีเล่ห์รัก ตามด้วยลิขิตสเน่หา รักประกาศิต รักนี้หัวใจมีครีบ ไอ้คุณผี และอีกหลายเรื่องที่กำลังถ่ายทำอยู่ นาทีนี้เธอจึงเป็นดาราสาวที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่ง...
เจสซี่ บอกว่าการดูแลตัวเอง คือการพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ รวมถึงหาอะไรทำเพื่อให้จิตใจปลอดโปร่ง รู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยให้เรามีสุขภาพดี
“ถ้ามีเวลาว่างจะออกไปเดินเล่นในสวน 20-30 นาที ก็ถือว่าได้ออกกำลังกายแล้ว หรือบางครั้งต้องออกไปซื้อของใกล้ๆ บ้าน ก็จะใช้การเดินแทนการใช้รถ เพราะจะช่วยในเรื่องของการประหยัดน้ำมัน ลดโลกร้อน ที่สำคัญเราได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย” เจสซี่ เล่า
นอกจากการดูแลสุขภาพกาย เจสซี่ ยังเผยถึงเคล็ดลับการดูแลผิวพรรณให้ดูสดใส เปล่งปลั่งอยู่ตลอดเวลาว่า เธอรับประทานผัก ผลไม้ และดื่มน้ำเป็นประจำทุกวัน สำหรับการผ่อนคลายความเครียดนักแสดงสาวให้ความเห็นว่า จะหาวิธีการปลุกใจตัวเองให้แข็งแรง สดชื่นขึ้น โดยทำอะไรก็ได้ที่สบายใจ เช่น ไปกินข้าวกับเพื่อน ไปดูหนัง อยู่บ้านอ่านหนังสือ และหาเวลาอยู่กับตัวเองเพื่อคิดทบทวนว่าเราเครียดเรื่องอะไร เกิดจากอะไร แล้วตัดสิ่งนั้นออกไป
เพราะยิ่งต้องทำงานตลอดเวลา ก็ยิ่งจะต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจมีกำลังใจในการทำงานต่อไป
ท้ายสุด เจสซี่ฝากคำแนะนำถึงคนที่อยากดูแลตัวเองว่า ไม่ ว่าเราจะเครียดเรื่องอะไร ความเครียดนั้นจะส่งผลมาถึงสุขภาพร่างกายโดยตรง ทำให้ป่วยบ้าง ร่างกายอ่อนล้าบ้าง เราจึงต้องดูแลตัวเองให้ดี
“หาเวลาออกกำลังกายสัก 30 นาทีค่ะ จะแกว่งแขนอยู่ในบ้าน ดื่มน้ำเยอะๆ กินผัก ผลไม้เยอะ ลดปริมาณเนื้อสัตว์ลง เพียงเท่านี้เราก็จะมีสุขภาพที่ดีแล้ว” เจสซี่กล่าว
ที่มา : Team Content www.thaihealth.or.th
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ความเหงา ทำร้ายคนเท่าสูบบุหรี่ 15 มวน
"ความเหงา" มีอันตรายมากกว่าที่เราคิด งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริคแฮม ยัง บอกให้เรารู้ว่าความเหงานั้นสามารถบั่นทอนสุขภาพร่างกายของเราได้มากพอกับ การเป็นโรคอ้วนหรือการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน
ดร.จูเลียน โฮลท์ ลุนสตัด จากมหาวิทยาลัยบริกแฮม รัฐยูทาห์ ผู้ ทำการวิจัยเรื่องดังกล่าวระบุว่า การมีเพื่อนหรือครอบครัวอยู่ข้างกายช่วยให้คนๆ หนึ่งค้นพบความหมายของชีวิตและมีความสุขมากกว่าคนที่ไม่มีสังคม
"เมื่อคนๆ หนึ่งรู้สึกว่ามีเพื่อนฝูงคบหาหรือต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่น จะทำให้เขาดูแลตัวเองดีขึ้น ส่งผลให้มีความเสี่ยงในชีวิตน้อยลง ส่วนการแยกตัวโดดเดี่ยวนั้นมีอันตรายต่อสุขภาพเทียบเท่ากับผู้ที่สูบบุหรี่ วันละ 15 มวนเลยทีเดียว"
ดร.จูเลียน ยังกล่าวต่อไปอีกด้วยว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหรือนักวิชาการ ตลอดจนสื่อต่างๆ มักมองที่การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง ความเครียด หรือการไม่ออกกำลังกายว่าเป็นเหตุให้คนๆ หนึ่งเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่จากการวิจัยในครั้งนี้ พบว่าปัจจัยด้านสังคมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เสียชีวิตเร็วหรือช้าได้ เช่นกัน และงานวิจัยอีกชิ้นก่อนหน้านี้ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ไม่แต่งงานมีโอกาส เสียชีวิตเร็วกว่าคนที่แต่งงานแล้ว (รวมถึงคนที่แต่งงานแล้วหย่าด้วย)
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่พบว่า ผู้ ที่มีเพื่อนที่ทำงานอย่างน้อย 3 คนขึ้นไปมีแนวโน้มที่จะมีความพึงพอใจในชีวิตมากกว่าคนที่ไม่มีเพื่อนที่ทำ งานเลย เพราะการมีเพื่อนช่วยให้ความเครียดลดลงและช่วยลดความหดหู่ แถมยังมีข้อดีอีกมากมายหลายอย่าง แต่เพราะชีวิตที่เร่งรีบและเต็มไปด้วยงาน ทำให้เราไม่มีโอกาสจะได้เจอกับเพื่อนเก่าๆ เลย ยิ่งเมื่ออยู่ในวัยทำงานแล้วการมองหาเพื่อนใหม่ๆ ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากเข้าไปอีก
ใครที่กำลังคิดว่าอยากจะมีเพื่อนใหม่แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีไม่ควรพลาด! ไปดูกันดีกว่าว่าเราจะสามารถพบเพื่อนใหม่ได้ด้วยวิธีไหนบ้าง
1. พบเพื่อนใหม่ผ่านการแนะนำ
การสร้างมิตรภาพใหม่ๆ จะสำเร็จได้ง่ายขึ้นหากผ่านการแนะนำจากคนใกล้ตัว Andrea Bonior ผู้เชี่ยวชาญและผู้เขียนหนังสือ The Friendship Fix ได้อธิบายวิธีการไว้ว่า เมื่อเพื่อนหรือคนรู้จักของคุณมีการเลี้ยงสรรค์กับเพื่อนๆ ของเขาที่คุณไม่รู้จัก มันเป็นการดีถ้าหากคุณจะเอ่ยปากขอไปด้วยคน ไม่ต้องอายที่จะพูดกับเพื่อนว่าคุณอยากจะพบปะกับเพื่อนใหม่ๆ ดูบ้าง
2. เข้าหาสังคมใหม่ๆ
หากคุณรู้สึกว่าสังคมเดิมๆ ของคุณเริ่มที่จะน่าเบื่อ การมองหาเพื่อนจากสังคมใหม่ๆ ก็เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่ง การพบปะกับผู้คนใหม่ๆ ที่มีความสนใจคล้ายคลึงกันหรือมีนิสัยและประสบการณ์ชีวิตที่คล้ายกัน คุณอาจจะได้พบเพื่อนใหม่ๆ จากการเข้าร่วมชมรม หรือการท่องเที่ยว หรือการย้ายที่ทำงาน หรือย้ายที่อยู่ก็สามารถทำให้พบเพื่อนใหม่ และสังคมใหม่ๆ ได้เช่นกัน
3. อย่าด่วนตัดสินใจเร็วเกินไป
มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะสามารถสร้างมิตรภาพที่ดีต่อกันได้หลังจากพบกันเพียง แค่ครั้งเดียว การพบปะและพูดคุยกันบ่อยๆ ต่างหากที่จะสามารถช่วยทำให้รู้สึกผูกพันและเกิดมิตรภาพที่ดีได้ ดังนั้นคุณไม่ควรที่ตัดสินว่าคุณกับเขาเป็นเพื่อนกันไปแล้วจนกว่าคุณกับเขา จะได้พบปะและพูดคุยกันอย่างน้อย 3 - 4 ครั้ง เพราะมิตรภาพที่มาไวก็จากไปไวเหมือนกัน
4. จดจำสิ่งที่พูดคุยกันครั้งแรกเอาไว้
การเริ่มบทสนทนาด้วยคำถามเกี่ยวกับความสนใจต่างๆ ที่คุณมีก็สามารถทำให้เราสร้างมิตรภาพกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันได้ แต่ก็ไม่ควรที่จะลืมสิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมาในบทสนทนาครั้งแรกด้วย เพราะถ้าหากคุณจดจำได้ การพูดคุยกันครั้งต่อไปก็จะมีเรื่องที่จะพูดคุยกันได้มากขึ้นด้วย
5. หาตัวช่วย
ถ้าหากคุณได้พบกับใครสักคนและรู้สึกเหมือนว่าคุณและเขามีความสนใจและมีความ คิดคล้ายกัน จนคุณรู้สึกว่าเขานี่ล่ะคือเพื่อนที่ดีของคุณได้อย่างแน่นอน แต่คุณก็รู้สึกกังวลและประหม่าไม่กล้าที่จะชักชวนเขาไปเที่ยวเพียงสองต่อสอง ล่ะก็ การไปกันเป็นกลุ่มก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างน้อยก็จะทำให้คุณและเขาไม่รู้สึกอึดอัดจนเกิดไป คุณอาจจะเริ่มจากการชวนเขามาปาร์ตี้ที่บ้านและชวนเพื่อนของคุณคนอื่นๆ มาด้วยก็ได้
ที่มา: เว็บไซต์สปริงนิวส์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
สวย รูปร่างดีกับ แคทรียา อิงลิช
ห่างหายจากวงการมายาไปสักระยะสำหรับสาวเซ็กซี่มากความสามารถทั้งด้านการแสดง
เต้น และร้องเพลง “แคท” แคทรียา อิงลิช แต่ถึงจะไม่ได้พบกันนาน
รูปร่างของเธอก็ยังสวยเป๊ะ แถมยังมีรอยยิ้มสดใสเหมือนเช่นเคย
เห็นอย่างนี้แล้ว เลยขอล้วงเคล็ดลับการดูแลตัวเองของเธอมาฝากคุณผู้อ่าน
แคท เผยถึงการสร้างรูปร่างที่ดีว่า เป็นคนที่ติดการออกกำลังกายมาก แต่ละวันจะออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 1 ชม. ทุกเช้า ต่อเนื่องด้วยการเล่นพิลาทิสอย่างน้อยวันละ 1-2 ชม. ซึ่งการเล่นพิลาทิสนี้ จะคล้ายกับการเล่นโยคะ แต่พิลาทิสจะช่วยให้ร่างกายเฟิร์ม กล้ามเนื้อเรียว โดยเฉพาะคนที่อยากจะหน้าท้องแบน พิลาทิสช่วยได้เยอะ นอกจากนี้ เธอยังเป็นคนที่ชอบการซิทอัพหน้าท้อง เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงขึ้น
“เมื่อดูแลสุขภาพกายแล้ว ใจก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องดูแลควบคู่กันไป เพราะเวลาเครียดจากงาน จิตใจคนเราเป็นสิ่งแรกที่จะรับรู้ ส่วนตัวพยายามที่จะมองโลกในแง่ดี อะไรที่เป็นอุปสรรคก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ในชีวิต ต้องรู้จักปล่อยวาง ถ้าเครียดจริงๆ ก็จะเต้นหรือไม่ก็เลือกที่จะโทรศัพท์คุยกับเพื่อนเพื่อให้เราผ่อนคลายมาก ขึ้น” แคท กล่าว
ออกกำลังกายและพักผ่อนแล้ว ก็ต้องนึกถึงอาหารการกิน แคทเล่าว่าต้องเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอย่างอาหารทอดหรือผัด เน้นการกินผักและผลไม้มากๆ ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ
สำหรับเดือนพฤษภาคมที่มีวันงดสูบบุหรี่โลก นักร้องสาวคนสวยให้ความเห็นว่า ปัจจุบันคนไทยเริ่มหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น สูบบุหรี่น้อยลง แล้วหันมาออกกำลังกาย เพราะเห็นโทษภัยของบุหรี่แล้วว่า จะส่งผลร้ายกับตัวเองอย่างไรบ้าง
“บุหรี่ให้โทษกับตัวเองจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำลายสุขภาพ ทำลายครอบครัว และยังทำลายสิ่งแวดล้อม ครอบครัวของแคทเองก็มีคุณย่าที่สูบบุหรี่ แต่ท่านก็เลิกสูบบุหรี่ได้ด้วยตัวของท่านเอง พอเลิกแล้วเห็นชัดเลยว่าทั้งสุขภาพ และผิวพรรณของท่านดูสดใสขึ้น วันนี้จึงยังไม่สายที่จะเลิกสูบบุหรี่ค่ะ” แคท ทิ้งท้าย
ที่มา : Team Content www.thaihealth.or.th
แคท เผยถึงการสร้างรูปร่างที่ดีว่า เป็นคนที่ติดการออกกำลังกายมาก แต่ละวันจะออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 1 ชม. ทุกเช้า ต่อเนื่องด้วยการเล่นพิลาทิสอย่างน้อยวันละ 1-2 ชม. ซึ่งการเล่นพิลาทิสนี้ จะคล้ายกับการเล่นโยคะ แต่พิลาทิสจะช่วยให้ร่างกายเฟิร์ม กล้ามเนื้อเรียว โดยเฉพาะคนที่อยากจะหน้าท้องแบน พิลาทิสช่วยได้เยอะ นอกจากนี้ เธอยังเป็นคนที่ชอบการซิทอัพหน้าท้อง เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงขึ้น
“เมื่อดูแลสุขภาพกายแล้ว ใจก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องดูแลควบคู่กันไป เพราะเวลาเครียดจากงาน จิตใจคนเราเป็นสิ่งแรกที่จะรับรู้ ส่วนตัวพยายามที่จะมองโลกในแง่ดี อะไรที่เป็นอุปสรรคก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ในชีวิต ต้องรู้จักปล่อยวาง ถ้าเครียดจริงๆ ก็จะเต้นหรือไม่ก็เลือกที่จะโทรศัพท์คุยกับเพื่อนเพื่อให้เราผ่อนคลายมาก ขึ้น” แคท กล่าว
ออกกำลังกายและพักผ่อนแล้ว ก็ต้องนึกถึงอาหารการกิน แคทเล่าว่าต้องเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอย่างอาหารทอดหรือผัด เน้นการกินผักและผลไม้มากๆ ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ
สำหรับเดือนพฤษภาคมที่มีวันงดสูบบุหรี่โลก นักร้องสาวคนสวยให้ความเห็นว่า ปัจจุบันคนไทยเริ่มหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น สูบบุหรี่น้อยลง แล้วหันมาออกกำลังกาย เพราะเห็นโทษภัยของบุหรี่แล้วว่า จะส่งผลร้ายกับตัวเองอย่างไรบ้าง
“บุหรี่ให้โทษกับตัวเองจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำลายสุขภาพ ทำลายครอบครัว และยังทำลายสิ่งแวดล้อม ครอบครัวของแคทเองก็มีคุณย่าที่สูบบุหรี่ แต่ท่านก็เลิกสูบบุหรี่ได้ด้วยตัวของท่านเอง พอเลิกแล้วเห็นชัดเลยว่าทั้งสุขภาพ และผิวพรรณของท่านดูสดใสขึ้น วันนี้จึงยังไม่สายที่จะเลิกสูบบุหรี่ค่ะ” แคท ทิ้งท้าย
ที่มา : Team Content www.thaihealth.or.th
วัยรุ่นไทยเสี่ยงเอดส์
แม้อัตราการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ในประเทศไทยลดลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่วัยรุ่นไทยกลับเผชิญแนวโน้มในการติดเชื้อ เพิ่มมากขึ้นเพราะมีพฤติกรรมที่เสี่ยงอันตราย โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับการค้ากาม การฉีด ยาเสพติดและกลุ่มชายรักชายที่ไม่ได้ป้องกันในการมีเพศสัมพันธ์
นาย โรเบิร์ต แกส ผู้อำนวยการกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ประจำประเทศไทย กล่าว ว่า การมีเพศสัมพันธ์ที่เป็นการส่งผ่านเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยร้อยละ 70 เกิดขึ้นในกลุ่มประชากรที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปี และเตือนว่าเป็นเรื่องยากลำบากในการส่งคำเตือนเรื่องการมีเพศสัมพันธ์อย่าง ปลอดภัยเข้าไปในกลุ่มประชากรที่เสี่ยงต่อโรค โดยเผยว่า การสื่อสารที่ทันสมัยในยุคปัจจุบัน เปิดโอกาสให้วัยรุ่นไทยสามารถนัดพบเพื่อมีเพศสัมพันธ์กันได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะนักศึกษาสาวที่ต้องการหารายได้พิเศษด้วยการค้าบริการทางเพศและนัด เจอลูกค้านอกสถานที่ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุดเพราะหลายคนอาจไม่ สามารถโน้มน้าวให้ผู้ซื้อบริการสวมถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อได้
วอยซ์ ออฟอเมริการะบุว่า ผู้ค้าบริการทางเพศซึ่งไม่ใช่ชาวไทยที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข และข้อมูลในการป้องกันเชื้อเอชไอวี เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงเช่นกัน ทั้งนี้ รายงานฉบับดังกล่าวรวบรวมข้อมูลจากวัยรุ่นกว่า 2,000 คน เชื่อว่ามีชาวไทยราว 5 แสนคนที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่สุดอันดับ 5 และในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวร้อยละ 4 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด
ที่มา : เว็บไซต์ข่าวสด
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ดูแลสุขภาพอย่างไร ปลอดภัยจากโรคหน้าหนาว
หากรู้จักดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเป็นประจำ ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน ก็แข็งแรงได้ ไม่มีป่วย...
โอกาสนี้ นายแพทย์สมิต ประสันนาการ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี กล่าว ว่า เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงที่อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ฤดูหนาว ขอให้ประชาชนทุกท่านได้ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยด้วยโรคที่มากับหน้าหนาว โดยมีแนวทางปฏิบัติดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบหมู่ อย่างเพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
- ไม่เข้าไปในที่แออัด โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่/ ไข้หวัด ๒๐๐๙ / โรคคอตีบ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และยาเสพติดต่าง ๆ เนื่องจากอาจทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม ติดเชื้อได้ง่าย
- ใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก เวลาไอจาม และเมื่อเจ็บป่วย มีอาการ ไอ จาม ต้องแยกตัว ไม่คลุกคลีกับผู้อื่น/หมั่นล้างมือ และหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
- เลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการ ไข้ ไอ เจ็บคอและไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ควรใช้ช้อนกลาง เมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
- นำบุตรหลานรับวัคซีนป้องกันโรคตามกำหนดนัดทุกครั้ง
- รับประทานอาหารสะอาด ปรุงสุกใหม่ๆ
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสะอาด และสบู่ หลังสัมผัสสิ่งของต่าง ๆ เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู ฯลฯ
- รักษาความอบอุ่นของร่างกายในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง
- สวมเสื้อผ้าเหมาะกับสภาพอากาศ หลังอาบน้ำควรทาโลชั่นหรือน้ำมันทาผิว ป้องกันริมฝีปากแห้งแตกด้วย ลิปมัน ไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อย ๆ
-กรณีซื้อเสื้อผ้ามือสองมาใช้ ต้องนำมาผ่านขั้นตอนการทำความสะอาดก่อนใช้
โดย นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานีกล่าวเพิ่มเติมว่า การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าสุขภาพดีจะลดโอกาสการเจ็บป่วยลงได้ หากเรามีพื้นฐานสุขภาพที่ดี เมื่อเจ็บป่วยก็จะหายในเวลาอันรวดเร็ว
ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
เผย เคาช์โปเตโต้ คุกคามเด็กไทย
แพทย์ ชี้สถานการณ์สุขภาพเด็กไทยใกล้วิกฤติ พบพฤติกรรมชอบนั่งๆ นอนๆ ดูทีวี วีดีโอ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ "เคาช์โปเตโต้" คุกคามหนัก ทำเด็กไทยเฉื่อย และเป็นโรคอ้วนมากถึงร้อยละ 8 จิตแพทย์หวั่นเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคร้ายในอนาคต แนะออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมง
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า “เด็กไทยมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะเป็น “เคาช์โปเตโต้” (couch potato) หรือ
คนที่เอาแต่นั่งๆ นอนๆ ดูทีวี วิดีโอ หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์
ไม่เคลื่อนไหวทำกิจกรรม ทำให้เป็นโรคอ้วน การศึกษาล่าสุดพบว่า
ในจำนวนเด็กไทยอายุ 2-18 ปี ทั่วประเทศ จำนวน 17.6 ล้านคน
มีเด็กที่เป็นโรคอ้วนมากถึงเกือบ 1.5 ล้านคน
กลุ่มวัยรุ่นเป็นโรคอ้วนมากที่สุด เนื่องจากขาดการออกกำลังกาย
จึงทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคร้ายต่างๆ มากมายในอนาคต เช่น ความดันโลหิตสูง
หลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน รวมทั้งมีโอกาสที่จะมีปัญหาด้านบุคลิกภาพ
การสื่อสาร การเข้าสังคม และทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นด้วย
สาเหตุของพฤติกรรม “เคาช์โปเตโต้” มา
จากการที่เด็กดูโทรทัศน์ เล่นเกมวิดีโอหรือคอมพิวเตอร์มากเกินไป
พ่อแม่จำนวนมาก
โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเมืองใหญ่หลายคนคิดว่าการดูโทรทัศน์และเล่นคอมพิวเตอร์
เป็นการให้ความรู้และปลอดภัย แต่จริงๆ แล้วไม่ได้พัฒนาทางกายตามที่ควรเป็น
แขนขาไม่ได้ใช้งาน ขาดโอกาสที่จะได้ฝึกการโต้ตอบ
หรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ทำให้พูดช้า เลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
สมาธิสั้น เป็นการบ่มเพาะพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี ทำให้เกิดโรคต่างๆ
มากมาย
พญ.อัมพรกล่าว
ว่า ผลการสำรวจพบว่าเด็กไทยร้อยละ 67.8 เล่นอินเทอร์เน็ตเป็นประจำ
เฉลี่ยครั้งละ 2.42 ชั่วโมง ดูโทรทัศน์ 1-7 ชั่วโมงต่อวัน และ
มีเด็กจำนวนมากที่ดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมไปรับประทานอาหารไปจนอ้วน
หรือบางคนก็ไม่รับประทานอาหารเลยจนขาดสารอาหาร บางคนอารมณ์ฉุนเฉียว
ก้าวร้าว เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดจากภาวะเคาช์โปเตโต้
ควรมีการเคลื่อนไหวร่างกาย ทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น เด็กโตไม่ควรใช้เวลาเกิน
1 ชั่วโมง เล่นเกมหรือดูทีวี เด็กเล็กไม่เกิน 30 นาที สถาบันการศึกษา
ครอบครัว ภาครัฐและเอกชน จำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อป้องกันพฤติกรรมดังกล่าว
โรงเรียน
ควรเพิ่มเวลาออกกำลังกายหรือเรียนพลศึกษาในโรงเรียน
การจัดให้มีสนามเด็กเล่น ลานกิจกรรมและสันทนาการในชุมชนอย่างทั่วถึง
การใช้เวลากับครอบครัวอย่างมีคุณภาพ เช่น พ่อแม่ชวนกันทำงานบ้าน
ออกไปวิ่งเล่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกัน
เพื่อสุขภาพดีอย่างมีคุณภาพ
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า เด็กในวัยเรียนควรออกกำลังกายในระดับปานกลาง
เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ วันละ 60 นาที เพื่อให้มีสุขภาพดี
และผู้ใหญ่ทั่วไปวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน
เพื่อให้โครงสร้างและกล้ามเนื้อ ระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบไหลเวียนโลหิต
ระบบหายใจ
ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
รวมทั้งช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายได้เป็นอย่างดี
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)