อาหาร
กับนักกีฬาและผู้รักการออกกำลังกายที่เน้นพืช ผักที่เป็นธรรมชาติ
เน้นสลับสีที่มีสีส้ม สีแดง สีเหลือง สีเขียว
หรือแม้กระทั่งสีม่วงนั้นบางคนไม่ชอบทาน
อย่าลืมว่าสีต่างๆเหล่านี้ธรรมชาติสร้างมาให้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่าง
กายทั้งสิ้น
เพราะ
ขณะที่เราทำอะไรก็ตามที่ใช้แรงกาย
ใช้ความเครียดผิดจากธรรมชาติที่มนุษย์สร้างมา เช่น อดนอน นอนดึก
หรือกินสารที่เป็นพิษกับร่างกาย เช่น สุรา เบียร์ หรือพวกที่สูบบุหรี่
ก็มีผลทำให้เซลล์ไม่รู้จักไม่คุ้นเคยกับสารพิษเหล่านี้
เพราะร่างกายไม่ได้สร้างสารเหล่านี้ขึ้นมา
ร่างกายมองว่าเป็นสารพิษสารแปลกปลอมก็เลยเกิดเป็นอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย
แม้
กระทั่งการออกกำลังกายที่มากเกินไป ถึงแม้เราจะบอกว่าการออกกำลังกายดีแน่ๆ
แต่ถ้าหนักหนาสาหัสมากเกินไป เช่น ออกกำลังกายวันหนึ่ง 8-9 ชั่วโมง
ก็มีผลทำให้ร่างกายสร้างอนุมูลอิสระมากกว่าที่เราต้องการได้เช่นเดียวกัน
ทุกอย่าง
ในโลกนี้ต้องใช้หลักปรัชญาพอเพียง คือสายกลางเป็นดีที่สุด
ทุกอย่างถ้าอะไรเกินไปก็จะมีข้อเสียจนกระทั่งเราจัดการในร่างกายไม่ได้
ถ้าน้อยเกินไปก็เฉา ฉะนั้นเอาพอดีๆนะครับ การทานผักสีต่างๆ
พวกสีเหลืองจากฟักทอง ข้าวโพด สีส้มแครอท สีม่วง เช่น กะหล่ำปลีม่วง
แม้กระทั่งสีเขียวพวกผักคะน้า ม็อคคารีที่กำลังฮิตน้ำคลอโรฟิลด์
ซึ่งน้ำคลอโรฟิลด์ก็คือสีเขียวนั่นเอง แต่ไปตั้งชื่อให้เก๋ไก๋
ชาวบ้านไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ ผักทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นผักสีเขียว สีส้ม สีแดง
สีม่วง ล้วนเป็นสารที่ต้านอนุมูลอิสระทั้งสิ้น
นัก
กีฬาจึงควรกินพวกนี้มากๆ เช่น วันนี้กินสีเหลือง พรุ่งนี้สลับกินสีเขียว
สีม่วงบ้าง
เวลาสั่งอาหารตามสั่งก็บอกแม่ค้าเอาข้าวราดผัดผักรวมก็จะมีหลายสีผสม
อันนี้เป็นวิธีการที่จะช่วยลดอนุมูลอิสระในร่างกาย
ที่ธรรมชาติสร้างสิ่งที่แก้ไขซึ่งกันและกันให้มาแล้ว แต่มนุษย์เองไม่กิน
ไม่ใช้ธรรมชาติ
กลับไปเลือกใช้อาหารเสริมซึ่งไม่มีอะไรดีกับร่างกายเท่ากับธรรมชาติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกิน
แม้
กระทั่งแคลเซียมที่นักกีฬาต้องการก็มีจากธรรมชาติ เช่น
การกินน้ำซุปต้มกระดูก ปลาตัวเล็กตัวน้อย นม ถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้
เต้าหู้ต่างๆ เป็นต้น แม้แต่ชาวอีสานที่กินปลาร้า
ลองนึกดูว่าปลาร้ากว่าจะได้มาต้องเอาปลาไปหมัก กระดูกก้างปลาก็ต้องหมัก
ปลาร้าจึงมีกระดูกก้างปลาเต็มไปหมด จึงเป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียม
ฟอสฟอรัสตามธรรมชาติ เพราะสารจากการหมักการดอง เกลือแร่พวกแคลเซียม
ฟอสฟอรัส ไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเป็นโลหะ
ซึ่งปลาร้าในปัจจุบันที่ทำเป็นซองขายมีการฆ่าเชื้อเรียบร้อย
สามารถส่งออกได้
เช่น
เดียวกับกะปิเวลาทำน้ำพริกปลาทู
กะปิทำจากเคยที่เป็นสัตว์เล็กๆที่มีเปลือกหุ้มอยู่
กุ้งแห้งก็กินเปลือกกุ้งแห้ง แคลเซียมทั้งนั้น แต่อาจจะน้อยกว่าก้างปลา
พวกเปลือกที่หุ้มอยู่ภายนอกมีแคลเซียมน้อยกว่า แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เปล่าๆ
เห็น
ไหมครับเรื่องผัก ผลไม้หลากสีล้วนมีแคลเซียมจากธรรมชาติทั้งนั้น
แม้กระทั่งเกลือแร่ซึ่งมีผู้ถามเสมอว่าต้องกินน้ำเกลือแร่หรือเปล่าเวลาออก
กำลังกายแล้วเสียเหงื่อ
ผมบอกตรงๆเลยว่าเกลือแร่ในร่างกายมีการเก็บสะสมไว้พอเพียงให้เราใช้ออก
แรงกลางแดด จึงอยากให้กินน้ำผลไม้มากกว่า
เพราะในน้ำผลไม้มีเกลือแร่ครบเพียงพอเท่าเทียมกับน้ำเกลือแร่
แถมในน้ำผลไม้ยังมีวิตามินเพิ่มมากขึ้นอีก มีสารเอนไซม์ต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ สีส้ม แดง เขียว ฯลฯ
เห็น ไหมครับว่าเราต้องการไฟฟ้า เกลือแร่และสารต่างๆที่หลั่งจากเส้นประสาทจะไปสั่งกล้ามเนื้อให้ทำงาน บีบ คลาย หด เราจึงเกิดการขยับไปมาเหมือนที่เป็นอยู่โดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ถ้าขาดเกลือแร่เมื่อไหร่อาการผิดปรกติต่างๆจะเกิดขึ้นมากบ้างน้อยบ้างตาม สภาวการณ์
คราว
นี้พอจะนึกภาพออกหรือยัง
รวมทั้งอาหารที่จะช่วยป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อเสียหาย
จึงควรทานอาหารหลากหลาย ไม่ใช่เน้นอะไรบางอย่าง เช่น ความเชื่อเรื่องโปรตีน
คนที่ออกกำลังกายโดยทั่วไปมักถูกสอนให้เชื่อว่าต้องกินโปรตีนเยอะหน่อย
ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง โปรตีนเองร่างกายไม่ต้องการมากนัก
ยกเว้นในช่วงวัยเด็กและเข้าสู่วัยกำลังเติบโต (growth frist) คือ
ระหว่าง 11 ปีครึ่ง-17 ปี ที่ร่างกายต้องการความสูงใหญ่อย่างรวดเร็ว
ต้องการสร้างกล้ามเนื้อตามกระดูกที่ยาวขึ้นๆ
จึงจำเป็นต้องการโปรตีนมากกว่าคนธรรมดา แต่ไม่ได้มากมาย
คน
ทั่วไปต้องการโปรตีนเฉลี่ยแล้วคิดเป็นน้ำหนักของเนื้อสัตว์
ซึ่งนักโภชนาการจะพูดเป็นมิลลิกรัม แต่เราพูดเป็นขีด
คือคนธรรมดาทั่วไปหรือวัยกลางคนต้องการโปรตีนไม่เกินวันละ 3 ขีด รวม 3 มื้อ
เอาเนื้อหมู ปลา เป็ด ไก่ มาผสมรวมกันแล้วนับรวมกันไม่เกิน 3 ขีด
ถ้าเด็กต้องการเพิ่มอีก 1 ขีด คือไม่เกิน 4 ขีด เราต้องการเพียงแค่นี้ใน 1
วัน เด็กก่อนอายุ 25 ปีอาจต้องการถึง 4 ขีดต่อวัน แต่เลย 25 ปีไปแล้ว 2-3
ขีดก็เพียงพอ
สำหรับ
คนสูงอายุ 2 ขีดก็พอแล้ว เพราะถ้าเยอะไปร่างกายจะไม่ต้องการเก็บเอาไว้
สะสมไม่ได้ด้วย ต้องทิ้งออกให้หมดจากร่างกาย
มิฉะนั้นจะกลายเป็นสารตกค้างยูริกแอสิดที่ร่างกายไม่ชอบ เป็นของเสียไปอีก
ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น