อาหาร ที่ปลอดภัย โภชนาการที่ดีกว่าเดิม และเด็กสุขภาพดี เป็นหัวข้อเนื้อหาหลักของการสัมมนาระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพ ของเด็ก ที่ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านอาหารแห่งเอเชีย (afic) ที่ได้จัดขึ้นที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2551
การ
เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของลักษณะการดำเนินชีวิตทั่วทั้งทวีปเอเชีย
ซึ่งรวมถึงการลดลงของการทำกิจกรรมทางด้านร่างกาย
และการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น มีความหมายว่า
ความท้าทายทางด้านสุขภาพที่เด็กๆ
และพ่อแม่ผู้ปกครองหรือผู้เลี้ยงดูเด็กในประเทศต่างๆ
ของเอเชียกำลังเผชิญอยู่นั้น
ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
ผู้เชี่ยวชาญจากภูมิภาคใกล้เคียง
ซึ่งรวมถึงผู้เข้าร่วมสัมมนาจากองค์การอนามัยโลก (who), ผู้ควบคุมดูแลภาครัฐ, นักวิทยาศาสตร์, ตัว
แทนจากสื่อสารมวลชนและกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารได้พบปะกัน
เพื่อแสดงความคิดเห็นประเด็นด้านโภชนาการที่มีผลกระทบมากที่สุดต่อเด็ก
เอเชียในวันนี้ และหนทางที่มีประสิทธิภาพเพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้
จาก
นิวเดลีถึงปักกิ่ง กรุงเทพฯ ถึงโซล
ประเด็นซึ่งกำลังเผชิญหน้าอยู่ล้วนคล้ายคลึงกัน เด็กๆ
ในชุมชนเมืองของเอเชียมีแนวโน้มอ้วนขึ้นและแข็งแรงน้อยลง อย่างไรก็ตาม
ในหลายเมืองใหญ่ แม้แคลอรี่ที่รับประทานเข้าไปจะมีปริมาณเหมาะสม
หรือมากเกินความจำเป็น บ่อยครั้งที่สารอาหารที่ได้รับกลับไม่สมดุล ศ.หยาง ยู่
ซิน ผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการและอาหารปลอดภัยแห่งชาติ ประเทศจีน กล่าวว่า
ผลสำรวจโภชนาการแห่งชาติ ประเทศจีน ได้แสดงผลว่า เด็กๆ ได้รับแคลเซียม, สังกะสี, วิตามินเอ, บี
2 และซี ในปริมาณที่ต่ำ ถึงแม้จะมีเพียงพอสำหรับรับประทาน
ความพยายามในการจัดการเรื่องน้ำหนักเกินในเด็กของภูมิภาคนี้ต้องการความมั่น
ใจว่า สารอาหารที่ได้รับนั้นต้องเพียงพอ ศ.หยางกล่าว
ดร.คูแนล บัคชี
ที่ปรึกษาด้านโภชนาการส่วนภูมิภาคแห่งองค์การอนามัยโลก
สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย
กล่าวว่า หนึ่งในประเด็นสำคัญคืออัตราการรับประทานอาหารนอกบ้านสูงในวันนี้
ลักษณะการดำเนินชีวิตในภูมิภาคได้รับผลจากอัตรามารดาทำงานนอกบ้านที่สูง
และสามารถจัดสรรเวลาได้น้อยลงสำหรับการเตรียมมื้ออาหารและช่วงเวลาอาหารของ
ครอบครัว การรับประทานอาหารนอกบ้านเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
และทางเลือกของอาหารที่เด็กได้รับอาจจะไม่ดีที่สุดเสมอไป
สิ่งนี้ได้รับการยืนยันจากการศึกษาของ afic
เมื่อ
เร็วๆ นี้ ที่ทำการศึกษาจากกลุ่มผู้มีอายุระหว่าง 13-49 ปี ซึ่งพบว่า
ประชาชนในกรุงเทพฯ รับประทานอาหารนอกบ้านโดยเฉลี่ย 21 ครั้งต่อเดือน
ซึ่งมากที่สุดคือ ศูนย์อาหาร และในเซี่ยงไฮ้
พบอัตราการรับประทานอาหารนอกบ้านนั้นต่ำกว่ากรุงเทพฯ
แต่ยังคงมีนัยสำคัญอยู่ที่ 12 ครั้งต่อเดือน เฮเลน ยู
กรรมการผู้จัดการศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านอาหารแห่งเอเชีย (afic) กล่าวว่า ผู้บริโภคต้องการข้อมูลเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับทางเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ “ผล
การสำรวจแสดงว่า ประชาชนต้องการข้อมูลด้านโภชนาการเพิ่มเติม ประมาณ 2 ใน 3
ของผู้ที่อาศัยในกรุงเทพฯ กล่าวว่า พวกเขา(หรือครอบครัว)
มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงอาหาร หากมีข้อมูลมากกว่าที่เป็นอยู่” เฮเลน ยู กล่าว
งานวิจัยจากศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านอาหารแห่งเอเชีย (afic) ซึ่ง
ได้จัดทำขึ้นในกรุงเทพฯและเซี่ยงไฮ้ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2550
ได้มองถึงปัจจัยหลักที่มีผลต่อทางเลือกอาหาร และพบว่า รสชาติเป็นลำดับต้นๆ
ที่ประชาชนมอง เมื่อมีการเลือกอาหาร ลำดับต่อๆ มาคือ
โภชนาการและรวมถึงข้อมูลบนฉลากอาหาร
การวิจัยได้มุ่งประเมินความพึงพอใจต่อฉลากอาหารในหลายๆ รูปแบบและพบว่า
ไม่ว่าฉลากอาหารจะปรากฏอยู่ในรูปแบบใด
ความเข้าใจของผู้บริโภคที่มีต่อฉลากอาหารนั้นมีอยู่ในระดับต่ำ
การศึกษาได้ทำการทดสอบฉลาก 3 ประเภท “แบบสัญญาณไฟจราจร” (traffic light labels) ซึ่งใช้สีแดง, สีเหลือง และสีเขียว ในการระบุปริมาณเปรียบเทียบของแคลอรี่, ไขมัน, น้ำตาล และเกลือ แบบคำแนะนำจำนวนหน่วยบริโภคต่อวัน (guideline daily amount-gda) ซึ่งจะแสดงข้อมูลปริมาณแคลอรี่, ไขมัน, น้ำตาล
และเกลือ
และสัดส่วนของส่วนประกอบเหล่านี้เป็นหน่วยบริโภคของอาหารเปรียบเทียบกับ
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน และท้ายสุดคือ ฉลาก
ซึ่งเพียงแสดงข้อมูลแคลอรี่เป็นหน่วยบริโภค
และจำนวนรวมแคลอรี่ต่อวันที่ร่างกายต้องการ สิ่งที่ค้นพบได้แสดงผลว่า
ในขณะที่ประชาชนส่วนมากสามารถบอกจำนวนแคลอรี่ในอาหารที่แสดงบนฉลาก
พวกเขากลับไม่เข้าใจรหัสสีในฉลากแบบสัญญาณไฟจราจร
และส่วนมากไม่ทราบปริมาณแคลอรี่ที่พวกเขาต้องการต่อวัน
หรือระดับแคลอรี่ของอาหารและเครื่องดื่มที่บริโภคกันปกติ
ระดับความรู้และความเข้าใจต่ำในเรื่องนี้ต่ำลงอีกในประชาชนกลุ่มวัยหนุ่มสาว
และผู้ที่มีการศึกษาน้อย
กลุ่ม
เด็กและวัยรุ่นเป็นจุดศูนย์กลางที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากหน่วยงานทาง
ด้านสุขภาพในความพยายามที่จะลดความเสี่ยงอันเพิ่มขึ้นจากโรคอ้วน
ซึ่งขณะนี้พวกเขาเป็นกลุ่มที่เป็นไปได้มากว่า ไม่อ่านฉลากอาหาร
และแสดงออกว่ามีความสนใจน้อยในการขอรับข้อมูลด้านทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดี “แผน
การต่างๆ
ที่ให้การศึกษาแก่เด็กและวัยรุ่นในเรื่องการรักษาน้ำหนักตัวที่ดีต่อสุขภาพ
นั้นต้องมีการวางแผนอย่างระมัดระวัง
เพื่อให้แน่ใจว่ามีเป้าหมายและมีประสิทธิผล” เฮเลน ยู กล่าว “มี
มื้ออาหารหลักหลายๆ มื้อที่ประชาชนต้องออกไปรับประทานกันนอกบ้าน ดังนั้น
การให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับแคลอรี่ในตัวเลือกอาหารที่ได้รับความนิยม
อาจเป็นก้าวแรกที่ดีในการช่วยประชาชนให้ได้รับตัวเลือกที่ดีขึ้น” ใน
ประเทศสิงคโปร์
รัฐบาลได้ให้ข้อมูลโภชนาการในเรื่องของร้านอาหารริมทางมาเป็นเวลาหลายปี
ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นความจริงที่ทราบกันว่า
อัตราส่วนร้อยละของแคลอรี่ต่อวันที่ประชาชนได้รับจากอาหารเหล่านี้มีความ
สำคัญ
การ
ศึกษาเรื่องสมดุลพลังงานยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากการศึกษาแสดงว่า
มีหลายคนที่ยังสับสนในเรื่องแคลอรี่และปริมาณเปรียบเทียบที่พวกเขาต้องการใน
แต่ละวัน จากอาหารที่รับประทานกันอยู่ปกติ
ที่มา :หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น