บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป บริโภคมากเสี่ยงโรค
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยด้านหัวใจและหลอดเลือดเบย์เลอร์ ในรัฐเทกซัส ของสหรัฐ เปิดเผยผลการวิจัยที่บ่งชี้ว่า ผู้ที่รับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2-3 มื้อต่อสัปดาห์ เสี่ยงต่อการทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายและการทำงานของหัวใจผิดปกติ
ซึ่งเป็นอาการที่ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และเบาหวานได้ อีกทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังมีโซเดียมหรือเกลือ และไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพในปริมาณที่สูงมาก อย่างไรก็ดี ชาวเกาหลีใต้ที่ขึ้นชื่อเรื่องการนิยมรับประทานบะหมี่สำเร็จรูป บอกว่าไม่กังวลเรื่องพิษภัยจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะมันทั้งสะดวก อร่อย ราคาไม่แพง และหาซื้อง่ายที่สุด
จึงไม่น่าแปลกใจที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะเป็นสินค้าที่มียอดขายสูงที่สุดใน เกาหลีใต้ ขณะที่ชาวจีนเองก็นิยมรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปเหมือนกัน โดยในปีที่ผ่านมา ชาวจีนรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปถึง 46,200 ล้านซอง คิดเป็นร้อยละ 44 ของบะหมี่สำเร็จรูปที่ผลิตทั่วโลกต่อปี
ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
หันมาใส่ใจสุขภาพแบบ เจสซี่
เป็นดาราสาวที่มีงานละครเข้ามาตลอดสำหรับ “เจสซี่” เจสสิกา ภาสะพันธุ์ ผลงานที่ผ่านมาของเธอ ละครเรื่อง ปฐพีเล่ห์รัก ตามด้วยลิขิตสเน่หา รักประกาศิต รักนี้หัวใจมีครีบ ไอ้คุณผี และอีกหลายเรื่องที่กำลังถ่ายทำอยู่ นาทีนี้เธอจึงเป็นดาราสาวที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่ง...
เจสซี่ บอกว่าการดูแลตัวเอง คือการพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ รวมถึงหาอะไรทำเพื่อให้จิตใจปลอดโปร่ง รู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยให้เรามีสุขภาพดี
“ถ้ามีเวลาว่างจะออกไปเดินเล่นในสวน 20-30 นาที ก็ถือว่าได้ออกกำลังกายแล้ว หรือบางครั้งต้องออกไปซื้อของใกล้ๆ บ้าน ก็จะใช้การเดินแทนการใช้รถ เพราะจะช่วยในเรื่องของการประหยัดน้ำมัน ลดโลกร้อน ที่สำคัญเราได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย” เจสซี่ เล่า
นอกจากการดูแลสุขภาพกาย เจสซี่ ยังเผยถึงเคล็ดลับการดูแลผิวพรรณให้ดูสดใส เปล่งปลั่งอยู่ตลอดเวลาว่า เธอรับประทานผัก ผลไม้ และดื่มน้ำเป็นประจำทุกวัน สำหรับการผ่อนคลายความเครียดนักแสดงสาวให้ความเห็นว่า จะหาวิธีการปลุกใจตัวเองให้แข็งแรง สดชื่นขึ้น โดยทำอะไรก็ได้ที่สบายใจ เช่น ไปกินข้าวกับเพื่อน ไปดูหนัง อยู่บ้านอ่านหนังสือ และหาเวลาอยู่กับตัวเองเพื่อคิดทบทวนว่าเราเครียดเรื่องอะไร เกิดจากอะไร แล้วตัดสิ่งนั้นออกไป
เพราะยิ่งต้องทำงานตลอดเวลา ก็ยิ่งจะต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจมีกำลังใจในการทำงานต่อไป
ท้ายสุด เจสซี่ฝากคำแนะนำถึงคนที่อยากดูแลตัวเองว่า ไม่ ว่าเราจะเครียดเรื่องอะไร ความเครียดนั้นจะส่งผลมาถึงสุขภาพร่างกายโดยตรง ทำให้ป่วยบ้าง ร่างกายอ่อนล้าบ้าง เราจึงต้องดูแลตัวเองให้ดี
“หาเวลาออกกำลังกายสัก 30 นาทีค่ะ จะแกว่งแขนอยู่ในบ้าน ดื่มน้ำเยอะๆ กินผัก ผลไม้เยอะ ลดปริมาณเนื้อสัตว์ลง เพียงเท่านี้เราก็จะมีสุขภาพที่ดีแล้ว” เจสซี่กล่าว
ที่มา : Team Content www.thaihealth.or.th
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ความเหงา ทำร้ายคนเท่าสูบบุหรี่ 15 มวน
"ความเหงา" มีอันตรายมากกว่าที่เราคิด งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริคแฮม ยัง บอกให้เรารู้ว่าความเหงานั้นสามารถบั่นทอนสุขภาพร่างกายของเราได้มากพอกับ การเป็นโรคอ้วนหรือการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน
ดร.จูเลียน โฮลท์ ลุนสตัด จากมหาวิทยาลัยบริกแฮม รัฐยูทาห์ ผู้ ทำการวิจัยเรื่องดังกล่าวระบุว่า การมีเพื่อนหรือครอบครัวอยู่ข้างกายช่วยให้คนๆ หนึ่งค้นพบความหมายของชีวิตและมีความสุขมากกว่าคนที่ไม่มีสังคม
"เมื่อคนๆ หนึ่งรู้สึกว่ามีเพื่อนฝูงคบหาหรือต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่น จะทำให้เขาดูแลตัวเองดีขึ้น ส่งผลให้มีความเสี่ยงในชีวิตน้อยลง ส่วนการแยกตัวโดดเดี่ยวนั้นมีอันตรายต่อสุขภาพเทียบเท่ากับผู้ที่สูบบุหรี่ วันละ 15 มวนเลยทีเดียว"
ดร.จูเลียน ยังกล่าวต่อไปอีกด้วยว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหรือนักวิชาการ ตลอดจนสื่อต่างๆ มักมองที่การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง ความเครียด หรือการไม่ออกกำลังกายว่าเป็นเหตุให้คนๆ หนึ่งเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่จากการวิจัยในครั้งนี้ พบว่าปัจจัยด้านสังคมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เสียชีวิตเร็วหรือช้าได้ เช่นกัน และงานวิจัยอีกชิ้นก่อนหน้านี้ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ไม่แต่งงานมีโอกาส เสียชีวิตเร็วกว่าคนที่แต่งงานแล้ว (รวมถึงคนที่แต่งงานแล้วหย่าด้วย)
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่พบว่า ผู้ ที่มีเพื่อนที่ทำงานอย่างน้อย 3 คนขึ้นไปมีแนวโน้มที่จะมีความพึงพอใจในชีวิตมากกว่าคนที่ไม่มีเพื่อนที่ทำ งานเลย เพราะการมีเพื่อนช่วยให้ความเครียดลดลงและช่วยลดความหดหู่ แถมยังมีข้อดีอีกมากมายหลายอย่าง แต่เพราะชีวิตที่เร่งรีบและเต็มไปด้วยงาน ทำให้เราไม่มีโอกาสจะได้เจอกับเพื่อนเก่าๆ เลย ยิ่งเมื่ออยู่ในวัยทำงานแล้วการมองหาเพื่อนใหม่ๆ ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากเข้าไปอีก
ใครที่กำลังคิดว่าอยากจะมีเพื่อนใหม่แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีไม่ควรพลาด! ไปดูกันดีกว่าว่าเราจะสามารถพบเพื่อนใหม่ได้ด้วยวิธีไหนบ้าง
1. พบเพื่อนใหม่ผ่านการแนะนำ
การสร้างมิตรภาพใหม่ๆ จะสำเร็จได้ง่ายขึ้นหากผ่านการแนะนำจากคนใกล้ตัว Andrea Bonior ผู้เชี่ยวชาญและผู้เขียนหนังสือ The Friendship Fix ได้อธิบายวิธีการไว้ว่า เมื่อเพื่อนหรือคนรู้จักของคุณมีการเลี้ยงสรรค์กับเพื่อนๆ ของเขาที่คุณไม่รู้จัก มันเป็นการดีถ้าหากคุณจะเอ่ยปากขอไปด้วยคน ไม่ต้องอายที่จะพูดกับเพื่อนว่าคุณอยากจะพบปะกับเพื่อนใหม่ๆ ดูบ้าง
2. เข้าหาสังคมใหม่ๆ
หากคุณรู้สึกว่าสังคมเดิมๆ ของคุณเริ่มที่จะน่าเบื่อ การมองหาเพื่อนจากสังคมใหม่ๆ ก็เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่ง การพบปะกับผู้คนใหม่ๆ ที่มีความสนใจคล้ายคลึงกันหรือมีนิสัยและประสบการณ์ชีวิตที่คล้ายกัน คุณอาจจะได้พบเพื่อนใหม่ๆ จากการเข้าร่วมชมรม หรือการท่องเที่ยว หรือการย้ายที่ทำงาน หรือย้ายที่อยู่ก็สามารถทำให้พบเพื่อนใหม่ และสังคมใหม่ๆ ได้เช่นกัน
3. อย่าด่วนตัดสินใจเร็วเกินไป
มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะสามารถสร้างมิตรภาพที่ดีต่อกันได้หลังจากพบกันเพียง แค่ครั้งเดียว การพบปะและพูดคุยกันบ่อยๆ ต่างหากที่จะสามารถช่วยทำให้รู้สึกผูกพันและเกิดมิตรภาพที่ดีได้ ดังนั้นคุณไม่ควรที่ตัดสินว่าคุณกับเขาเป็นเพื่อนกันไปแล้วจนกว่าคุณกับเขา จะได้พบปะและพูดคุยกันอย่างน้อย 3 - 4 ครั้ง เพราะมิตรภาพที่มาไวก็จากไปไวเหมือนกัน
4. จดจำสิ่งที่พูดคุยกันครั้งแรกเอาไว้
การเริ่มบทสนทนาด้วยคำถามเกี่ยวกับความสนใจต่างๆ ที่คุณมีก็สามารถทำให้เราสร้างมิตรภาพกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันได้ แต่ก็ไม่ควรที่จะลืมสิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมาในบทสนทนาครั้งแรกด้วย เพราะถ้าหากคุณจดจำได้ การพูดคุยกันครั้งต่อไปก็จะมีเรื่องที่จะพูดคุยกันได้มากขึ้นด้วย
5. หาตัวช่วย
ถ้าหากคุณได้พบกับใครสักคนและรู้สึกเหมือนว่าคุณและเขามีความสนใจและมีความ คิดคล้ายกัน จนคุณรู้สึกว่าเขานี่ล่ะคือเพื่อนที่ดีของคุณได้อย่างแน่นอน แต่คุณก็รู้สึกกังวลและประหม่าไม่กล้าที่จะชักชวนเขาไปเที่ยวเพียงสองต่อสอง ล่ะก็ การไปกันเป็นกลุ่มก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างน้อยก็จะทำให้คุณและเขาไม่รู้สึกอึดอัดจนเกิดไป คุณอาจจะเริ่มจากการชวนเขามาปาร์ตี้ที่บ้านและชวนเพื่อนของคุณคนอื่นๆ มาด้วยก็ได้
ที่มา: เว็บไซต์สปริงนิวส์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
สวย รูปร่างดีกับ แคทรียา อิงลิช
ห่างหายจากวงการมายาไปสักระยะสำหรับสาวเซ็กซี่มากความสามารถทั้งด้านการแสดง
เต้น และร้องเพลง “แคท” แคทรียา อิงลิช แต่ถึงจะไม่ได้พบกันนาน
รูปร่างของเธอก็ยังสวยเป๊ะ แถมยังมีรอยยิ้มสดใสเหมือนเช่นเคย
เห็นอย่างนี้แล้ว เลยขอล้วงเคล็ดลับการดูแลตัวเองของเธอมาฝากคุณผู้อ่าน
แคท เผยถึงการสร้างรูปร่างที่ดีว่า เป็นคนที่ติดการออกกำลังกายมาก แต่ละวันจะออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 1 ชม. ทุกเช้า ต่อเนื่องด้วยการเล่นพิลาทิสอย่างน้อยวันละ 1-2 ชม. ซึ่งการเล่นพิลาทิสนี้ จะคล้ายกับการเล่นโยคะ แต่พิลาทิสจะช่วยให้ร่างกายเฟิร์ม กล้ามเนื้อเรียว โดยเฉพาะคนที่อยากจะหน้าท้องแบน พิลาทิสช่วยได้เยอะ นอกจากนี้ เธอยังเป็นคนที่ชอบการซิทอัพหน้าท้อง เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงขึ้น
“เมื่อดูแลสุขภาพกายแล้ว ใจก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องดูแลควบคู่กันไป เพราะเวลาเครียดจากงาน จิตใจคนเราเป็นสิ่งแรกที่จะรับรู้ ส่วนตัวพยายามที่จะมองโลกในแง่ดี อะไรที่เป็นอุปสรรคก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ในชีวิต ต้องรู้จักปล่อยวาง ถ้าเครียดจริงๆ ก็จะเต้นหรือไม่ก็เลือกที่จะโทรศัพท์คุยกับเพื่อนเพื่อให้เราผ่อนคลายมาก ขึ้น” แคท กล่าว
ออกกำลังกายและพักผ่อนแล้ว ก็ต้องนึกถึงอาหารการกิน แคทเล่าว่าต้องเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอย่างอาหารทอดหรือผัด เน้นการกินผักและผลไม้มากๆ ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ
สำหรับเดือนพฤษภาคมที่มีวันงดสูบบุหรี่โลก นักร้องสาวคนสวยให้ความเห็นว่า ปัจจุบันคนไทยเริ่มหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น สูบบุหรี่น้อยลง แล้วหันมาออกกำลังกาย เพราะเห็นโทษภัยของบุหรี่แล้วว่า จะส่งผลร้ายกับตัวเองอย่างไรบ้าง
“บุหรี่ให้โทษกับตัวเองจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำลายสุขภาพ ทำลายครอบครัว และยังทำลายสิ่งแวดล้อม ครอบครัวของแคทเองก็มีคุณย่าที่สูบบุหรี่ แต่ท่านก็เลิกสูบบุหรี่ได้ด้วยตัวของท่านเอง พอเลิกแล้วเห็นชัดเลยว่าทั้งสุขภาพ และผิวพรรณของท่านดูสดใสขึ้น วันนี้จึงยังไม่สายที่จะเลิกสูบบุหรี่ค่ะ” แคท ทิ้งท้าย
ที่มา : Team Content www.thaihealth.or.th
แคท เผยถึงการสร้างรูปร่างที่ดีว่า เป็นคนที่ติดการออกกำลังกายมาก แต่ละวันจะออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 1 ชม. ทุกเช้า ต่อเนื่องด้วยการเล่นพิลาทิสอย่างน้อยวันละ 1-2 ชม. ซึ่งการเล่นพิลาทิสนี้ จะคล้ายกับการเล่นโยคะ แต่พิลาทิสจะช่วยให้ร่างกายเฟิร์ม กล้ามเนื้อเรียว โดยเฉพาะคนที่อยากจะหน้าท้องแบน พิลาทิสช่วยได้เยอะ นอกจากนี้ เธอยังเป็นคนที่ชอบการซิทอัพหน้าท้อง เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงขึ้น
“เมื่อดูแลสุขภาพกายแล้ว ใจก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องดูแลควบคู่กันไป เพราะเวลาเครียดจากงาน จิตใจคนเราเป็นสิ่งแรกที่จะรับรู้ ส่วนตัวพยายามที่จะมองโลกในแง่ดี อะไรที่เป็นอุปสรรคก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ในชีวิต ต้องรู้จักปล่อยวาง ถ้าเครียดจริงๆ ก็จะเต้นหรือไม่ก็เลือกที่จะโทรศัพท์คุยกับเพื่อนเพื่อให้เราผ่อนคลายมาก ขึ้น” แคท กล่าว
ออกกำลังกายและพักผ่อนแล้ว ก็ต้องนึกถึงอาหารการกิน แคทเล่าว่าต้องเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอย่างอาหารทอดหรือผัด เน้นการกินผักและผลไม้มากๆ ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ
สำหรับเดือนพฤษภาคมที่มีวันงดสูบบุหรี่โลก นักร้องสาวคนสวยให้ความเห็นว่า ปัจจุบันคนไทยเริ่มหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น สูบบุหรี่น้อยลง แล้วหันมาออกกำลังกาย เพราะเห็นโทษภัยของบุหรี่แล้วว่า จะส่งผลร้ายกับตัวเองอย่างไรบ้าง
“บุหรี่ให้โทษกับตัวเองจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำลายสุขภาพ ทำลายครอบครัว และยังทำลายสิ่งแวดล้อม ครอบครัวของแคทเองก็มีคุณย่าที่สูบบุหรี่ แต่ท่านก็เลิกสูบบุหรี่ได้ด้วยตัวของท่านเอง พอเลิกแล้วเห็นชัดเลยว่าทั้งสุขภาพ และผิวพรรณของท่านดูสดใสขึ้น วันนี้จึงยังไม่สายที่จะเลิกสูบบุหรี่ค่ะ” แคท ทิ้งท้าย
ที่มา : Team Content www.thaihealth.or.th
วัยรุ่นไทยเสี่ยงเอดส์
แม้อัตราการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ในประเทศไทยลดลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่วัยรุ่นไทยกลับเผชิญแนวโน้มในการติดเชื้อ เพิ่มมากขึ้นเพราะมีพฤติกรรมที่เสี่ยงอันตราย โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับการค้ากาม การฉีด ยาเสพติดและกลุ่มชายรักชายที่ไม่ได้ป้องกันในการมีเพศสัมพันธ์
นาย โรเบิร์ต แกส ผู้อำนวยการกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ประจำประเทศไทย กล่าว ว่า การมีเพศสัมพันธ์ที่เป็นการส่งผ่านเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยร้อยละ 70 เกิดขึ้นในกลุ่มประชากรที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปี และเตือนว่าเป็นเรื่องยากลำบากในการส่งคำเตือนเรื่องการมีเพศสัมพันธ์อย่าง ปลอดภัยเข้าไปในกลุ่มประชากรที่เสี่ยงต่อโรค โดยเผยว่า การสื่อสารที่ทันสมัยในยุคปัจจุบัน เปิดโอกาสให้วัยรุ่นไทยสามารถนัดพบเพื่อมีเพศสัมพันธ์กันได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะนักศึกษาสาวที่ต้องการหารายได้พิเศษด้วยการค้าบริการทางเพศและนัด เจอลูกค้านอกสถานที่ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุดเพราะหลายคนอาจไม่ สามารถโน้มน้าวให้ผู้ซื้อบริการสวมถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อได้
วอยซ์ ออฟอเมริการะบุว่า ผู้ค้าบริการทางเพศซึ่งไม่ใช่ชาวไทยที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข และข้อมูลในการป้องกันเชื้อเอชไอวี เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงเช่นกัน ทั้งนี้ รายงานฉบับดังกล่าวรวบรวมข้อมูลจากวัยรุ่นกว่า 2,000 คน เชื่อว่ามีชาวไทยราว 5 แสนคนที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่สุดอันดับ 5 และในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวร้อยละ 4 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด
ที่มา : เว็บไซต์ข่าวสด
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ดูแลสุขภาพอย่างไร ปลอดภัยจากโรคหน้าหนาว
หากรู้จักดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเป็นประจำ ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน ก็แข็งแรงได้ ไม่มีป่วย...
โอกาสนี้ นายแพทย์สมิต ประสันนาการ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี กล่าว ว่า เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงที่อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ฤดูหนาว ขอให้ประชาชนทุกท่านได้ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยด้วยโรคที่มากับหน้าหนาว โดยมีแนวทางปฏิบัติดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบหมู่ อย่างเพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
- ไม่เข้าไปในที่แออัด โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่/ ไข้หวัด ๒๐๐๙ / โรคคอตีบ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และยาเสพติดต่าง ๆ เนื่องจากอาจทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม ติดเชื้อได้ง่าย
- ใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก เวลาไอจาม และเมื่อเจ็บป่วย มีอาการ ไอ จาม ต้องแยกตัว ไม่คลุกคลีกับผู้อื่น/หมั่นล้างมือ และหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
- เลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการ ไข้ ไอ เจ็บคอและไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ควรใช้ช้อนกลาง เมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
- นำบุตรหลานรับวัคซีนป้องกันโรคตามกำหนดนัดทุกครั้ง
- รับประทานอาหารสะอาด ปรุงสุกใหม่ๆ
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสะอาด และสบู่ หลังสัมผัสสิ่งของต่าง ๆ เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู ฯลฯ
- รักษาความอบอุ่นของร่างกายในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง
- สวมเสื้อผ้าเหมาะกับสภาพอากาศ หลังอาบน้ำควรทาโลชั่นหรือน้ำมันทาผิว ป้องกันริมฝีปากแห้งแตกด้วย ลิปมัน ไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อย ๆ
-กรณีซื้อเสื้อผ้ามือสองมาใช้ ต้องนำมาผ่านขั้นตอนการทำความสะอาดก่อนใช้
โดย นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานีกล่าวเพิ่มเติมว่า การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าสุขภาพดีจะลดโอกาสการเจ็บป่วยลงได้ หากเรามีพื้นฐานสุขภาพที่ดี เมื่อเจ็บป่วยก็จะหายในเวลาอันรวดเร็ว
ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
เผย เคาช์โปเตโต้ คุกคามเด็กไทย
แพทย์ ชี้สถานการณ์สุขภาพเด็กไทยใกล้วิกฤติ พบพฤติกรรมชอบนั่งๆ นอนๆ ดูทีวี วีดีโอ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ "เคาช์โปเตโต้" คุกคามหนัก ทำเด็กไทยเฉื่อย และเป็นโรคอ้วนมากถึงร้อยละ 8 จิตแพทย์หวั่นเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคร้ายในอนาคต แนะออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมง
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า “เด็กไทยมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะเป็น “เคาช์โปเตโต้” (couch potato) หรือ
คนที่เอาแต่นั่งๆ นอนๆ ดูทีวี วิดีโอ หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์
ไม่เคลื่อนไหวทำกิจกรรม ทำให้เป็นโรคอ้วน การศึกษาล่าสุดพบว่า
ในจำนวนเด็กไทยอายุ 2-18 ปี ทั่วประเทศ จำนวน 17.6 ล้านคน
มีเด็กที่เป็นโรคอ้วนมากถึงเกือบ 1.5 ล้านคน
กลุ่มวัยรุ่นเป็นโรคอ้วนมากที่สุด เนื่องจากขาดการออกกำลังกาย
จึงทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคร้ายต่างๆ มากมายในอนาคต เช่น ความดันโลหิตสูง
หลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน รวมทั้งมีโอกาสที่จะมีปัญหาด้านบุคลิกภาพ
การสื่อสาร การเข้าสังคม และทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นด้วย
สาเหตุของพฤติกรรม “เคาช์โปเตโต้” มา
จากการที่เด็กดูโทรทัศน์ เล่นเกมวิดีโอหรือคอมพิวเตอร์มากเกินไป
พ่อแม่จำนวนมาก
โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเมืองใหญ่หลายคนคิดว่าการดูโทรทัศน์และเล่นคอมพิวเตอร์
เป็นการให้ความรู้และปลอดภัย แต่จริงๆ แล้วไม่ได้พัฒนาทางกายตามที่ควรเป็น
แขนขาไม่ได้ใช้งาน ขาดโอกาสที่จะได้ฝึกการโต้ตอบ
หรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ทำให้พูดช้า เลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
สมาธิสั้น เป็นการบ่มเพาะพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี ทำให้เกิดโรคต่างๆ
มากมาย
พญ.อัมพรกล่าว
ว่า ผลการสำรวจพบว่าเด็กไทยร้อยละ 67.8 เล่นอินเทอร์เน็ตเป็นประจำ
เฉลี่ยครั้งละ 2.42 ชั่วโมง ดูโทรทัศน์ 1-7 ชั่วโมงต่อวัน และ
มีเด็กจำนวนมากที่ดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมไปรับประทานอาหารไปจนอ้วน
หรือบางคนก็ไม่รับประทานอาหารเลยจนขาดสารอาหาร บางคนอารมณ์ฉุนเฉียว
ก้าวร้าว เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดจากภาวะเคาช์โปเตโต้
ควรมีการเคลื่อนไหวร่างกาย ทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น เด็กโตไม่ควรใช้เวลาเกิน
1 ชั่วโมง เล่นเกมหรือดูทีวี เด็กเล็กไม่เกิน 30 นาที สถาบันการศึกษา
ครอบครัว ภาครัฐและเอกชน จำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อป้องกันพฤติกรรมดังกล่าว
โรงเรียน
ควรเพิ่มเวลาออกกำลังกายหรือเรียนพลศึกษาในโรงเรียน
การจัดให้มีสนามเด็กเล่น ลานกิจกรรมและสันทนาการในชุมชนอย่างทั่วถึง
การใช้เวลากับครอบครัวอย่างมีคุณภาพ เช่น พ่อแม่ชวนกันทำงานบ้าน
ออกไปวิ่งเล่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกัน
เพื่อสุขภาพดีอย่างมีคุณภาพ
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า เด็กในวัยเรียนควรออกกำลังกายในระดับปานกลาง
เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ วันละ 60 นาที เพื่อให้มีสุขภาพดี
และผู้ใหญ่ทั่วไปวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน
เพื่อให้โครงสร้างและกล้ามเนื้อ ระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบไหลเวียนโลหิต
ระบบหายใจ
ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
รวมทั้งช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายได้เป็นอย่างดี
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
นศ.แพทย์รณรงค์ลดอ้วน พึ่งออกกำลังกาย
สหพันธ์ นิสิตนักศึกษาแห่งเอเชีย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เครือข่ายคนไทยไร้พุง ร่วมรณรงค์ลดอ้วนส่งเสริมสุขภาพในรั้วมหาวิทยาลัย หลังพบนักศึกษานิยมใช้บริการลดความอ้วนแบบผิดวิธี
นาย
วสันต์ เจนธนากุล นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 3 โรงพยาบาลรามาธิบดี
ตัวแทนสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งเอเชีย กล่าวว่า
กรุงเทพมหานครได้จัดงาน bangkok heath expo โดย
จะจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 6-8 มิ.ย.ที่ผ่านมา
เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อ
ต่างๆ
"สหพันธ์
ได้มีโอกาสเข้าร่วมรณรงค์ให้ความรู้เรื่องโรคอ้วน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ
กทม.ที่มีนโยบาย ให้คนกรุงเทพฯ ไร้พุง ซึ่งร่วมกับเครือข่ายคนไทยไร้พุง
และราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
ซึ่งเป้าหมายของโครงการนี้ต้องการให้ประชาชนทั่วไป
และกลุ่มนักศึกษาหันมาสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นโดยการออกกำลังกาย
เพื่อลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีมากกว่าหันไปหาวิธีการลดน้ำหนักแบบไม่ถูกต้อง"
นายวสันต์ กล่าว
นาย
วสันต์ กล่าวว่า
ปัจจุบันคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพมากแต่ขาดความรู้ที่ถูกต้องในการดูแลตัวเอง
บางคนต้องทำงานจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย จนเกิดโรคต่างๆ สะสม โดยโรคที่พบมาก
นั่น คือ โรคอ้วนซึ่งเป็นโรคที่จะนำไปสู่โรคไม่ติดต่ออีกหลายโรค เช่น
โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง
และบางรายที่เกิดปัญหาโรคอ้วนต้องไปใช้บริการเข้าคอร์สจากสถาบันเสริมความ
งาม ซึ่งเป็นสิ่งไม่จำเป็น และส่งผลกระทบต่อสุขภาพด้านอื่นในระยะยาวอีกด้วย
นอก
จากนี้ จากการรณรงค์ที่ผ่านมาพบว่าแม้การสูบบุหรี่มีอัตราที่สูง
แต่ก็มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
ต่างกับปัญหาเรื่องอ้วนและน้ำหนักเกินที่มีแนวโน้มสูงอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสูงถึง 13 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 3
ของประชากรที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งเอเชียได้เห็นความสำคัญของเรื่องนี้
จึงได้มีการรณรงค์ร่วมกับกรุงเทพมหานครเพื่อสร้างเสริมสุขภาพในมหาวิทยาลัย
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
แนะ! กินผัก ผลไม้หลากสีช่วยเพิ่มแคลเซียม
อาหาร
กับนักกีฬาและผู้รักการออกกำลังกายที่เน้นพืช ผักที่เป็นธรรมชาติ
เน้นสลับสีที่มีสีส้ม สีแดง สีเหลือง สีเขียว
หรือแม้กระทั่งสีม่วงนั้นบางคนไม่ชอบทาน
อย่าลืมว่าสีต่างๆเหล่านี้ธรรมชาติสร้างมาให้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่าง
กายทั้งสิ้น
เพราะ
ขณะที่เราทำอะไรก็ตามที่ใช้แรงกาย
ใช้ความเครียดผิดจากธรรมชาติที่มนุษย์สร้างมา เช่น อดนอน นอนดึก
หรือกินสารที่เป็นพิษกับร่างกาย เช่น สุรา เบียร์ หรือพวกที่สูบบุหรี่
ก็มีผลทำให้เซลล์ไม่รู้จักไม่คุ้นเคยกับสารพิษเหล่านี้
เพราะร่างกายไม่ได้สร้างสารเหล่านี้ขึ้นมา
ร่างกายมองว่าเป็นสารพิษสารแปลกปลอมก็เลยเกิดเป็นอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย
แม้
กระทั่งการออกกำลังกายที่มากเกินไป ถึงแม้เราจะบอกว่าการออกกำลังกายดีแน่ๆ
แต่ถ้าหนักหนาสาหัสมากเกินไป เช่น ออกกำลังกายวันหนึ่ง 8-9 ชั่วโมง
ก็มีผลทำให้ร่างกายสร้างอนุมูลอิสระมากกว่าที่เราต้องการได้เช่นเดียวกัน
ทุกอย่าง
ในโลกนี้ต้องใช้หลักปรัชญาพอเพียง คือสายกลางเป็นดีที่สุด
ทุกอย่างถ้าอะไรเกินไปก็จะมีข้อเสียจนกระทั่งเราจัดการในร่างกายไม่ได้
ถ้าน้อยเกินไปก็เฉา ฉะนั้นเอาพอดีๆนะครับ การทานผักสีต่างๆ
พวกสีเหลืองจากฟักทอง ข้าวโพด สีส้มแครอท สีม่วง เช่น กะหล่ำปลีม่วง
แม้กระทั่งสีเขียวพวกผักคะน้า ม็อคคารีที่กำลังฮิตน้ำคลอโรฟิลด์
ซึ่งน้ำคลอโรฟิลด์ก็คือสีเขียวนั่นเอง แต่ไปตั้งชื่อให้เก๋ไก๋
ชาวบ้านไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ ผักทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นผักสีเขียว สีส้ม สีแดง
สีม่วง ล้วนเป็นสารที่ต้านอนุมูลอิสระทั้งสิ้น
นัก
กีฬาจึงควรกินพวกนี้มากๆ เช่น วันนี้กินสีเหลือง พรุ่งนี้สลับกินสีเขียว
สีม่วงบ้าง
เวลาสั่งอาหารตามสั่งก็บอกแม่ค้าเอาข้าวราดผัดผักรวมก็จะมีหลายสีผสม
อันนี้เป็นวิธีการที่จะช่วยลดอนุมูลอิสระในร่างกาย
ที่ธรรมชาติสร้างสิ่งที่แก้ไขซึ่งกันและกันให้มาแล้ว แต่มนุษย์เองไม่กิน
ไม่ใช้ธรรมชาติ
กลับไปเลือกใช้อาหารเสริมซึ่งไม่มีอะไรดีกับร่างกายเท่ากับธรรมชาติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกิน
แม้
กระทั่งแคลเซียมที่นักกีฬาต้องการก็มีจากธรรมชาติ เช่น
การกินน้ำซุปต้มกระดูก ปลาตัวเล็กตัวน้อย นม ถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้
เต้าหู้ต่างๆ เป็นต้น แม้แต่ชาวอีสานที่กินปลาร้า
ลองนึกดูว่าปลาร้ากว่าจะได้มาต้องเอาปลาไปหมัก กระดูกก้างปลาก็ต้องหมัก
ปลาร้าจึงมีกระดูกก้างปลาเต็มไปหมด จึงเป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียม
ฟอสฟอรัสตามธรรมชาติ เพราะสารจากการหมักการดอง เกลือแร่พวกแคลเซียม
ฟอสฟอรัส ไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเป็นโลหะ
ซึ่งปลาร้าในปัจจุบันที่ทำเป็นซองขายมีการฆ่าเชื้อเรียบร้อย
สามารถส่งออกได้
เช่น
เดียวกับกะปิเวลาทำน้ำพริกปลาทู
กะปิทำจากเคยที่เป็นสัตว์เล็กๆที่มีเปลือกหุ้มอยู่
กุ้งแห้งก็กินเปลือกกุ้งแห้ง แคลเซียมทั้งนั้น แต่อาจจะน้อยกว่าก้างปลา
พวกเปลือกที่หุ้มอยู่ภายนอกมีแคลเซียมน้อยกว่า แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เปล่าๆ
เห็น
ไหมครับเรื่องผัก ผลไม้หลากสีล้วนมีแคลเซียมจากธรรมชาติทั้งนั้น
แม้กระทั่งเกลือแร่ซึ่งมีผู้ถามเสมอว่าต้องกินน้ำเกลือแร่หรือเปล่าเวลาออก
กำลังกายแล้วเสียเหงื่อ
ผมบอกตรงๆเลยว่าเกลือแร่ในร่างกายมีการเก็บสะสมไว้พอเพียงให้เราใช้ออก
แรงกลางแดด จึงอยากให้กินน้ำผลไม้มากกว่า
เพราะในน้ำผลไม้มีเกลือแร่ครบเพียงพอเท่าเทียมกับน้ำเกลือแร่
แถมในน้ำผลไม้ยังมีวิตามินเพิ่มมากขึ้นอีก มีสารเอนไซม์ต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ สีส้ม แดง เขียว ฯลฯ
เห็น ไหมครับว่าเราต้องการไฟฟ้า เกลือแร่และสารต่างๆที่หลั่งจากเส้นประสาทจะไปสั่งกล้ามเนื้อให้ทำงาน บีบ คลาย หด เราจึงเกิดการขยับไปมาเหมือนที่เป็นอยู่โดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ถ้าขาดเกลือแร่เมื่อไหร่อาการผิดปรกติต่างๆจะเกิดขึ้นมากบ้างน้อยบ้างตาม สภาวการณ์
คราว
นี้พอจะนึกภาพออกหรือยัง
รวมทั้งอาหารที่จะช่วยป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อเสียหาย
จึงควรทานอาหารหลากหลาย ไม่ใช่เน้นอะไรบางอย่าง เช่น ความเชื่อเรื่องโปรตีน
คนที่ออกกำลังกายโดยทั่วไปมักถูกสอนให้เชื่อว่าต้องกินโปรตีนเยอะหน่อย
ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง โปรตีนเองร่างกายไม่ต้องการมากนัก
ยกเว้นในช่วงวัยเด็กและเข้าสู่วัยกำลังเติบโต (growth frist) คือ
ระหว่าง 11 ปีครึ่ง-17 ปี ที่ร่างกายต้องการความสูงใหญ่อย่างรวดเร็ว
ต้องการสร้างกล้ามเนื้อตามกระดูกที่ยาวขึ้นๆ
จึงจำเป็นต้องการโปรตีนมากกว่าคนธรรมดา แต่ไม่ได้มากมาย
คน
ทั่วไปต้องการโปรตีนเฉลี่ยแล้วคิดเป็นน้ำหนักของเนื้อสัตว์
ซึ่งนักโภชนาการจะพูดเป็นมิลลิกรัม แต่เราพูดเป็นขีด
คือคนธรรมดาทั่วไปหรือวัยกลางคนต้องการโปรตีนไม่เกินวันละ 3 ขีด รวม 3 มื้อ
เอาเนื้อหมู ปลา เป็ด ไก่ มาผสมรวมกันแล้วนับรวมกันไม่เกิน 3 ขีด
ถ้าเด็กต้องการเพิ่มอีก 1 ขีด คือไม่เกิน 4 ขีด เราต้องการเพียงแค่นี้ใน 1
วัน เด็กก่อนอายุ 25 ปีอาจต้องการถึง 4 ขีดต่อวัน แต่เลย 25 ปีไปแล้ว 2-3
ขีดก็เพียงพอ
สำหรับ
คนสูงอายุ 2 ขีดก็พอแล้ว เพราะถ้าเยอะไปร่างกายจะไม่ต้องการเก็บเอาไว้
สะสมไม่ได้ด้วย ต้องทิ้งออกให้หมดจากร่างกาย
มิฉะนั้นจะกลายเป็นสารตกค้างยูริกแอสิดที่ร่างกายไม่ชอบ เป็นของเสียไปอีก
ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
ระวังความดันโลหิตสูง ภัยเงียบ นำไปสู่ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
โรคความดันโลหิตสูง หรือที่เรียกว่า "ฆาตรกรเงียบ" เนื่อง
จากผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดงออกอย่างชัดเจน หากไม่ดูแลและควบคุม
จนเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี เกิดโรคแทรกซ้อนจนเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคไต
และโรคหัวใจล้มเหลวได้อย่างเฉียบพลันปัจจุบันโรคความดันโลหิตสูงเป็นปัญหา
มากในผู้สูงอายุ
โรคนี้มีอันตรายสูงเนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าตนเองมีความดัน
โลหิตสูงเพราะไม่มีอาการผิดปกติ การตรวจพบความดันโลหิตสูงได้แต่เนิ่น
จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการรักษาและควบคุมอาการ
เนื่อง
ในวันความดันโลหติสูงโลกซึ่งกำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี
เป็นวันความดันโลหิตสูงโลก
เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความอันตรายและวิธีการป้องกันและควบคุมโรค
ความดันโลหิตสูง ดร.นพ.เจย์ ลี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพเพศชาย
โรงพยาบาลรอคกี้วิลล์ เจอเนอรัล ประเทศแคนาดา
จึงให้คำแนะนำเกี่ยวกัลป์การดูแลตัวเองให้ห้างไกลจากภาวะความดันโลหิตสูง
"ความ
ดันโลหิตปกติ คือ มีความดันเลือดสูงสุดขณะหัวใจบีบตัวน้อยกว่า 120
และความดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัวต้องน้อยกว่า 80 ตัวอย่างเช่น 119/79 mm mg ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ที่มีความดันเลือดอยู่ในระดับอันตรายคือ 140/90 mm hg และ
130/80
สำหรับผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงส่วนสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงนั้นร้อยละ
90-95 ไม่ทรายสาเหตุที่แน่ชัดอาจเนื่องมาจากกรรมพันธุ์และอื่นๆ
มีเพียงร้อยละ 5-10 เท่านั้นที่ทราบสาเหตุ เช่น ไขมันในเลือดสูง เครียด
โรคอ้วน
ทั้งนี้ถ้าสามารถลดปัจจัยที่เป็นสาเหตุได้โอกาสการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง
เพราะความดันโลหิตสูงนำไปสู่โรคที่บั่นทอนชีวิตและสุขภาพ อาทิ โรคหัวใจ
โรคไตและยังนำไปสู่โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
ซึ่งผู้ชายจำนวนมากอาจยังไม่ทราบถึงความเกี่ยวข้องระหว่างสองโรคนี้"
ดร.นพ.เจีย์ ลี กล่าว "ความปลอดภัย
ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้แนะนำขนาดยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย" ดร.นพ.เจย์ ลี
กล่าวเพิ่มเติม
"ข้อ
ดีของปัญหาความดันโลหิตสูงอยู่ที่แม้ว่าจะไม่ทราบสาเหตุของโรคที่แน่ชัด
แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและสำหรับผู้ที่ป่วย
เป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้วก็สามารถควบคุมอาหารของโรคได้ง่ายๆ
ด้วยการพยายามควบคุมน้ำหนัก รับประทานผักและผลไม้สด
เนื่องจากมีโพรแทสเซียมสูง รวมถึงรับประทานโฮลเกรนและอาหารที่มีไขมันต่ำ
ซึ่งอาหารที่มีประโยชน์มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ป่วยควรลดการรับประทานเกลือและโซเดียม จะช่วยในการลดระดับความดันเลือด
ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด" ดร.นพ.เจีย์ ลี กล่าวสรุป
รักสุขภาพ ออกกำลังกาย ช่วยได้
ผู้
ป่วยเบาหวานจะมีอายุสั้นกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวาน เฉลี่ยประมาณ 10-15 ปี
สาเหตุการเสียชีวิตที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยเบาหวานคือ
หัวใจวายหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน
ปัจจัย
เสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ได้แก่ การสูบบุหรี่
ประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ไม่ออกกำลังกาย ไขมันในเลือดสูง
ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน และเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคหัวใจขาดเลือดมากกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวานถึง
2-3 เท่า เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานมีปัจจัยเสี่ยงมากมายในการเกิดโรคดังกล่าว
โรค
หัวใจขาดเลือดในผู้ป่วยเบาหวานป้องกันได้
ถ้าเคร่งครัดต่อการปฏิบัติตัวต่อสุขภาพ
ในอนาคตผู้ป่วยเบาหวานจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือดน้อยลง
โรค
เบาหวานทำให้ไขมันในเลือดผิดปกติ คือ
มีผลทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และดับเอช-ดี-แอล คอเลสเตอรอล
(คอเลสเตอรอลชนิดดี) ในเลือดต่ำ
โรคเบาหวานมีความสัมพันธ์กับโรคความดันโลหิตสูง
ผู้ป่วยเบาหวานจะมีความดันโลหิตสูงมากกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวานถึง 2 เท่า
โดยเฉพาะถ้าเป็นเบาหวานลงไตแล้ว จะพบความดันโลหิตสูงได้บ่อยมากนอกจากนี้
ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเอง ก็มีผลทำให้หลอดเลือดแดงตีบตันได้
ผู้
ป่วยเบาหวานจะป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากโรคหัวใจขาดเลือดได้
โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาดควบคุมอาหาร
เลือกรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลน้อย งดเครื่องดื่มและอาหารที่มีรสหวาน
ควบคุมปริมาณอาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว และจากการสำรวจ
พบว่าข้าวกล้องมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มน้อยกว่าข้าวขัดขาว
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ขาหมู หนังสัตว์ เครื่องใน หอยนางรม ไข่แดง
เป็นต้น
ควรรับประทานอาหารประเภทผักและถั่วให้มากและรับประทานผลไม้พอประมาณ
หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม กรณีที่มีความดันโลหิตสูง นอกจากนี้
ควรรับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ
ผู้
ป่วยเบาหวานควรมีระดับไขมันแอล-ดี-แอล คอเลสเตอรอล (คอเลสเตอรอลชนิดร้าย)
กว่า 150 มก./ดล. ระดับความดันโลหิตควรน้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท
ระดับน้ำตาลในเลือดขณะงดอาหารควรจะน้อยกว่า 120 มก./ดล.
และน้ำตาลเฉลี่ยหรือน้ำตาลสะสมในเลือด (ฮีโมโกลบิน เอ-วัน-ซี) ควรน้อยกว่า
7.0%
ผู้ป่วยบางรายที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างอาจจะต้องรับประทานแอสไพรินขนาดเล็กร่วมด้วย เพื่อป้องกันการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
ที่มา : โรงพยาบาลราชวิถี
มวยไทยแอโรบิก ออกกำลังกายผสมผสาน ช่วยให้หัวใจ ปอด แข็งแรง
แอโรบิก
เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในบรรดาคนรักสุขภาพ
เพราะเป็นกิจกรรมที่นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีรูปร่างที่สวยงามแล้ว
แอโรบิกยังให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และสามารถผ่อนคลายความเครียดได้
มวยไทยแอโรบิก เป็น
กิจกรรมที่ผสมผสานระหว่างการเต้นแอโรบิกกับกีฬามวยไทย
จัดเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกอีกรูปแบบหนึ่งที่ช่วยเรียกเหงื่อและรอย
ยิ้มได้เป็นอย่างดี มวยไทยแอโรบิกเป็นการนำลักษณะการออกอาวุธของมวยไทย เช่น
การออกหมัด การเตะ ฯลฯ มาประยุกต์เป็นท่าเต้นแอโรบิก
การ
ออกกำลังกายแบบมวยไทยแอโรบิกเกิดขึ้นมาได้สักพักหนึ่งแล้ว
แต่ยังไม่ค่อยแพร่หลายจึงไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
มวยไทยแอโรบิกเป็นกิจกรรมหนึ่งที่พวกเราคนไทยควรรู้จัก
เพราะเป็นกิจกรรมที่ช่วยอนุรักษ์กีฬามวยไทย
นับวันคนรุ่นหลังแทบจะไม่รู้จักมวยไทยแล้ว
เพราะการแข่งขันมวยไทยมีไม่ค่อยมาก ไม่เหมือนมวยสากลหรือมวยไทยสากล ดังนั้น
การประยุกต์ท่าแม่ไม้มวยไทยกับการเต้นแอโรบิกน่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะ
ช่วยสืบสานให้กีฬาประเภทนี้คงอยู่กับคนไทยตราบนานเท่านาน
ไม่ถูกลืมเลือนหรือสูญหายกลายไปเป็นสมบัติของชาติอื่น
มวย
ไทยแอโรบิกเป็นการออกกำลังกายด้วยท่าแม่ไม้มวยไทยร่วมกับท่ากายบริหารหรือ
การเคลื่อนไหวร่างกายเบื้องต้น
โดยใช้จังหวะดนตรีเป็นตัวกำกับความช้าเร็วของการเคลื่อนไหว
เวลา
ที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังกายประเภทนี้คือ
ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 30 นาที
จึงจะสามารถช่วยให้ระบบการไหลเวียนโลหิตและระบบการหายใจ หัวใจ ปอด
และหลอดเลือด ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
ทั้งยังช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกายมีความแข็งแรงมากขึ้นด้วย
สำหรับ
คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหรือมีสุขภาพไม่แข็งแรงแต่สนใจอยากทำกิจกรรม
ประเภทนี้ควรหัดจากท่าที่ไม่ยากหรือหนักเกินไปก่อน
เพื่อฝึกการเคลื่อนไหวและประสาทสัมผัส โดยทำครั้งละ 30 นาทีเป็นเวลา 2
สัปดาห์ เมื่อร่างกายมีความพร้อมมากขึ้นอาจเพิ่มความหนักและความยากของท่า
และอาจเพิ่มเวลาเป็น 35 นาที
หรือค่อยๆเพิ่มเวลาไปเรื่อยๆจนสามารถออกกำลังกายได้ครบ 1 ชั่วโมง
ชุด
ที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังกายแบบมวยไทยแอโรบิกควรเป็นชุดที่พอดีตัว
ไม่หลวมจนเกินไป
ส่วนรองเท้าควรสวมรองเท้ากีฬาหรือรองเท้าสำหรับการเต้นแอโรบิกโดยเฉพาะ
เพราะจะช่วยลดแรงกระแทกจากการเต้น และป้องกันการบาดเจ็บขณะเล่นได้
ไม่ว่าคุณจะชอบหรือถนัดกีฬาชนิดไหนก็ตาม
คุณควรแบ่งเวลาส่วนหนึ่งในชีวิตมาดูแลร่างกายตัวเองบ้าง
เพราะการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่สำคัญกับสุขภาพของเรา
สำหรับหนุ่มสาววัยทำงานอาจหาเวลาไปออกกำลังกายไม่ค่อยได้
จึงอยากแนะนำให้คุณเลือกเดินหรือเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น
เพราะการเดินถือเป็นการออกกำลังกายอีกอย่างหนึ่งที่ทำได้ง่ายๆแต่ให้ผลที่
คุ้มค่า ยังไงอย่าลืมมาออกกำลังกายกันเยอะๆนะคะ เพื่อร่างกายที่แข็งแรง
ออกกำลังกายอย่างไร ให้หัวใจแข็งแรง
การออกกำลังกายโดยทั่วไปล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับร่างกายอยู่แล้ว
แต่มีหลายคนสงสัยว่าจะออกกำลังกายอย่างไรที่จะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำ
งานของหัวใจสูงสุด คำตอบของคำถามนี้ก็คือ การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (aerobic exercise) ซึ่งหลายคนก็คงจะเข้าใจว่าคือการเต้นแอโรบิก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่
การออกกำลังกายแบบแอโรบิก คือการออกกำลังกายของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ
ในร่างกายหลายๆมัดอย่างต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง
ซึ่งจะมีผลให้ร่างกายใช้ออกซิเจนไปเผาผลาญอาหาร ในร่างกาย
และทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ และปอดดีขึ้น โดยมีหลักการง่ายๆดังนี้
1. เป็นการออกกำลังของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆทั่วร่างกาย เช่น เดินเร็วๆ วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือเต้น แอโรบิก
2. ระยะเวลาในการออกกำลังกายในแต่ละครั้งไม่ควรน้อยกว่า 20-30 นาที
3. ควรทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
4. ที่สำคัญที่สุดคือระหว่างการออกกำลังกายต้องให้หัวใจหรือชีพจร เต้นอยู่ในช่วงชีพจรเป้าหมาย(target heart rate) ซึ่งสามารถคำนวณได้จากสูตร
ชีพจรสูงสุด(maximum heart rate) = 220- อายุ(เป็นปี)
ชีพจรเป้าหมาย(target heart rate) = 60%-70% ของชีพจรสูงสุด
การจับชีพจรก็สามารถทำได้ง่ายๆคือ การจับบริเวณข้อมือประมาณ 15วินาทีแล้วคูณด้วย 4
โดยทำเป็นระยะระหว่างการออกกำลังกาย
หรือถ้าจะให้ดีที่สุดคือควรมีอุปกรณ์การจับชีพจร ซึ่งมีหลายรูปแบบ
ในท้องตลาดก็มีแบบที่เป็นนาฬิกาข้อมือ
การออกกำลังกายอย่าหักโหมจนชีพจรเต้นเร็วเกินชีพจรสูงสุดเพราะจะเป็นอันตราย
กับหัวใจ
ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบแอโรบิก
1. ทำให้สมรรถภาพการทำงานของหัวใจและปอดดีขึ้น
2. ช่วยลดไขมันในร่างกาย สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก การออกกำลังกายแบบนี้สามารถทำให้น้ำหนักลดได้ แต่ต้องทำควบคู่กับการควบคุมอาหาร
3. ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน คลอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์สูง การออกกำลังกายแบบนี้สามารถทำให้ระดับน้ำตาล และไขมัน ในเลือดลดลงได้ด้วย
4. ทำให้จิตใจสดชื่นเบิกบาน
ข้อควรระวังในการออกกำลังกาย
1. ค่อยๆออกกำลังกาย จากเบาๆและเพิ่มความหนักขึ้น และเริ่มจากระยะเวลาสั้นๆก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มระยะเวลา ในการออกกำลังกายให้ถึง20-30 นาที
2. ต้องมีการอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลัง เพื่อให้ร่างกายเตรียมพร้อมก่อน รวมทั้งเมื่อจะเลิกออกกำลังกาย ต้องค่อยๆผ่อนให้เบา และช้าลงไม่หยุดทันทีทันใด
3. ไม่ควรออกกำลังกายหลังจากรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ ควรออกกำลังกายหลังจากรับประทานอาหารแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
4. ควรออกกำลังกายในสภาพอากาศที่เหมาะสมไม่เย็นหรือร้อนเกินไป และควรเป็นที่ๆมีอากาศถ่ายเทดี
5. ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อน
ถ้าคุณสามารถปฏิบัติเช่นที่กล่าวมาได้อย่างสม่ำเสมอ รับรองว่าหัวใจของคุณจะแข็งแรง
เป็นหนุ่มเป็นสาวเสมอ รู้อย่างนี้แล้วอย่ารอช้า
เรามาออกกำลังกายกันเถอะ
สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องออกกำลังกาย
สุขภาพ
ร่างกายของคนเรานั้น
ไม่มีใครที่จะสามารถซ่อมแซมส่วนที่ซึกหลอและสามารถสร้างใหม่ขึ้นมาทดแทนได้
ร่างกายจะเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ที่ภูมิต้านทานของตัวเรา
ถ้าเรารักษาสุขภาพโดยการออกกำลังกายโรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่ถามหา
จะร่ำรวยเงินทองมากมายสักเพียงใดก็ตาม
ก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพดีเพื่อไม่ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้
การออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที ดีกว่ากินยาบำรุงวันละเม็ด และถ้าอยากให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงต้องออกกำลังกายทุกวัน “สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องออกกำลังกาย” หรือออกกำลังกายวันละนิดจิตแจ่มใส
นาย
สำเริง จีนอ่ำ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกล้วย จ.ชัยนาท
ร่วมกับชมรมเดินวิ่งเพื่อสุขภาพ ลูกเจ้าพระยาชัยนาท
จัดการทดลองวิ่งออกกำลัง “หนองระแหง 5 รอบกระชับมิตร”
เนื่องจากหนองระแหงตั้งอยู่บนพื้นที่ของ อบต.บ้านกล้วย
ซึ่งอยู่ติดกับพื้นที่ของเทศบาลบ้านกล้วย โดยมีถนนคันคลองชลประทานกั้นกลาง
ประชาชนในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองชัยนาทไปใช้สถานที่ดังกล่าวออกกำลังมากกว่า
ประชาชนในเขตท้องที่ตำบลบ้านกล้วย
บึงหนองระแหงนั้นเดิมเป็นบึงที่รกร้างมีบัวขึ้นเต็มหนองน้ำขาดการรักษาดูแล
หลังจากที่ยกฐานะขึ้นเป็น อบต.บ้านกล้วยแล้ว
ทางคณะผู้บริหารจึงได้ของบประมาณจากส่วนกลางมาพัฒนาบึงดังกล่าวเป็นสถานที่
ออกกำลังกายโดยการให้ประชาชนมาใช้ประโยชน์พาบุตรหลานมาพักผ่อนในยามเย็น
เนื่องจากมีเกาะกลางน้ำ
ปราศจากมลพิษจากกลิ่นควันไอเสียรถยนต์และรถจักรยานยนต์
นาย
แพทย์สุระชัย วีระพงษ์เพียร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้ามเนื้อและข้อ
ประธานที่ปรึกษาชมรมเดินวิ่งเพื่อสุขภาพลูกเจ้าพระยาชัยนาท กล่าวว่า
ปัจจุบันนี้ สถานพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดชัยนาท ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน
พ่อค้า ข้าราชการ ได้ออกกำลังกาย
และเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะได้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัย
ไข้เจ็บ และการออกกำลังกายนั้นจะไม่มีเวลาไปสนใจกับอบายมุข สิ่งเสพติด
เป็นการพัฒนาด้านร่างกายและจิตใจให้สมบูรณ์แจ่มใสปราศจากโรคหลอดเลือดและ
หัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคความดันโลหิตสูง
การออกกำลังกายทุกวันจะหายจากโรคเครียด โรควิตกจริต โรคหวาดกลัว
นาย
เอกชัย ภู่เปี่ยม ประธานชมรมฯ กล่าวว่า ชมรมเดินวิ่งเพื่อสุขภาพ
ลูกเจ้าพระยาชัยนาทที่จัดตั้งขึ้นมานั้น เนื่องจาก ประชาชน พ่อค้า
ข้าราชการ ได้ใช้สถานที่บริเวณเขื่อนเรียงหิน
หน้าศาลากลางจังหวัดชัยนาทเป็นสถานที่ออกกำลังกาย
แต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าว มีประชาชนไปใช้บริการกันมาก
ไม่สะดวกต่อการออกกำลังกายบางประเภท
จึงได้ชักชวนสมาชิกที่เป็นนักวิ่งไปใช้สถานที่ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกันโดย
ใช้สถานที่หนองระแหง ซึ่งเป็นถนนที่เรียบ บริเวณรอบหนองฯ
เป็นป่าไม้ธรรมชาติบรรยากาศดีมากการเดินวิ่งรอบหนองฯ ระยะทาง 1 รอบประมาณ 1,300
เมตร พร้อมกันนั้นเพื่อเป็นการรวมกลุ่มเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้อง
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการเดินวิ่งออกกำลังกายอย่างถูกวิธี
และนำสมาชิกฯเข้าร่วมทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ร่วมกัน
และนำทีมไปทำการแข่งขันเชื่อมความสามัคคีกับชมรมเดินวิ่งต่าง ๆ
ทั่วประเทศเป็นการสร้างมวลชนและเป็นการแลกเปลี่ยนทัศนคติในการจัดการแข่งขัน
แต่ละจังหวัด และการจัด “หนองระแหง 5 รอบกระชับมิตร” ใน
ครั้งนี้ เพื่อที่จะให้นักเดินวิ่งที่สังกัดอยู่ในชมรมฯได้มารวมตัวกัน
เพื่อชิงของรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อความสนุกสนาน
สำหรับสมาชิกท่านใดที่สนใจอยากจะออกกำลังกายร่วมกัน
และสังกัดอยู่ในชมรมฯเดียวกัน ไปสมัครได้ที่บริเวณหนองระแหง ต.บ้านกล้วย
ในช่วงเวลาแดดร่มลมตกทุกวันไม่มีวันหยุด ไม่ ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
ทั้งสิ้น
ชี้ออกกำลังกายช่วยให้อ่อนกว่าวัย 9 ปี
เป็นส่วนสำคัญในการสร้างภูมิต้านทานโรค ชะลอความโรยรา
หนังสือพิมพ์เดอะไทม์สฉบับออนไลน์ของอังกฤษรายงานผลการศึกษาล่าสุดซึ่งพบว่า
การออกกำลังกายนั้นช่วยให้ระบบชีวภาพของร่างกายคนเราแข็งแรงหรือคงสภาพดีเหมือนเมื่อมีอายุอ่อนกว่าอายุที่เป็นจริงสูงสุดถึง 9 ปี
ทั้งนี้นักวิจัยกล่าวว่าผลการวิจัยนี้อาจช่วยให้คำอธิบายว่าทำไมคนที่ออก
กำลังกายถึงมีภูมิต้านทานต่อโรค เป็นต้นว่า โรคหัวใจ โรคเบาหวาน มะเร็ง
และโรคที่มาพร้อมกับวัยที่โรยราชนิดอื่นๆ ได้
ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าการออกกำลังกายทำให้ร่างกายคนเรามีความอ่อนเยาว์กว่า
วัยโดยสามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย
สำหรับทีมนักวิจัยที่ทำการศึกษาล่าสุดนี้เป็นทีมจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง
คิงส์คอลเลจในประเทศอังกฤษ
โดยทีมนักวิจัยได้ทำการศึกษาลึกลงไปในระดับโมเลกุล เพื่อศึกษาดู telomeres
ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นนาฬิกาชีวภาพของร่างกายและเป็นเหมือนตัวปกป้องความเสีย
หายและเสื่อมโทรมต่อโครโมโซมร่างกาย
จากนั้นจึงวัดออกมาว่าคนแต่ละคนมีอายุทางชีวภาพของร่างกายเป็นเท่าไหร่
นักวิจัยกล่าวว่า ลักษณะ telomeres
ของคนแต่ละวัยนั้นจะมีสภาพแตกต่างกันออกไป โดยคนวัยรุ่นหนุ่มสาวก็จะมี
telomeres ที่มีขนาดยาวกว่า และจะสั้นลงเรื่อยๆ
เมื่อมีอายุเพิ่มขึ้นซึ่งการที่ telomeres สั้นลงเรื่อยๆ
นี้เองมีผลทำให้เกิดความเสื่อมต่างๆ ขึ้นในร่างกาย
ผลสรุปจากการวิจัยซึ่งทำร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจและ
มหาวิทยาลัยนิวเจอร์ซีนี้ระบุว่าคนที่หมั่นออกกำลังกายหรือมีการเคลื่อนไหว
ร่างกายและกระฉับกระเฉงกว่าจะมี telomeres
ที่ยาวกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายน้อยกว่า
ผลการวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการด้านอายุรเวช the archives of
internal medicine
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยที่ทำการศึกษาเปรียบเทียบหาสิ่งต่างและสิ่งที่
เหมือนกันระหว่างอาสาสมัครที่เป็นคนแฝดซึ่งมีอายุโดยเฉลี่ยต่ำกว่า 50 ปี
จำนวนทั้งสิ้น 2,400 คน และโดยมากเป็นอาสาสมัครผู้หญิง
ซึ่งมีอายุต่างกันไปตั้งแต่ 18 ถึง 81 ปี แต่อายุเฉลี่ยของอาสาสมัครอยู่ที่
50 ปี
ในขั้นตอนหนึ่งของการทำวิจัยนั้น ศาสตราจารย์ ทิม สเป็คเตอร์ และ ดร.ลินน์
เชอร์กาส จากมหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ และศาสตราจารย์ อับราฮัม อาวีฟ
จากโรงเรียนแพทย์นิวเจอร์ซี
ได้ให้อาสาสมัครตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับปริมาณการออกกำลังกายของพวกเขาในช่วง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้แล้วผู้ตอบแบบสอบถามยังต้องระบุด้วยว่าเป็นคนที่สูบบุหรี่ด้วยหรือ
เปล่า มีดัชนีมวลกายเท่าไหร่ และมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมอยู่ในระดับใด
หลังวิเคราะห์และประมวลผลออกมาแล้วพบว่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างระหว่างขนาด
ของ telomeres ปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว
และปริมาณการออกกำลังกายของกลุ่มประชากรตัวอย่างและความสัมพันธ์กันของทั้ง 3
สิ่งนี้ยังมีนัยสำคัญอยู่ถึงแม้ว่าจะปรับด้วยปัจจัยเรื่องการสูบบุหรี่
ดัชนีมวลกาย และระดับสังคมของกลุ่มตัวอย่างแล้วก็ตาม
และด้วยเหตุผลที่ว่ายีนส์ก็มีอิทธิพบต่อขนาดของ telomeres
นักวิจัยจึงได้ทำการศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบยีนส์ของกลุ่มตัวอย่างที่เป็น
แฝดเหมือนในกลุ่มที่เล็กลงมาด้วย
ซึ่งพบว่าคู่แฝดเหมือนมียีนส์เหมือนกันแต่มีขนาด telomeres
ต่างกันไปตามระดับการออกกำลังกาย
ที่มา : สำนักข่าวต่างประเทศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
ภาพประกอบ : www.thaihealth.or.th
ภาพประกอบ : www.thaihealth.or.th
เชื้อไข้เลือดออก อันตราย แนะใช้สมุนไพรป้องกัน
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แนะป้องกัน ตัวเองและคนในครอบครัวไม่ให้ยุงกัด พร้อมเผยผลวิจัย น้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรไทยใช้ทาป้องกันยุงกัดได้
น.พ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ข้อมูลสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกในปีนี้มีแนวโน้มจะมีความ รุนแรงเพิ่มขึ้นมากกว่าทุกปี ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขมีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเด็กเล็ก จึงได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดบูรณาการความร่วมมือกันเฝ้าระวัง พร้อมทั้งเร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนเรื่องการดูแลป้องกันตัว เองให้ห่างไกลจากโรคไข้เลือดออก เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิต รวมถึงชุมชนจะต้องมีส่วนร่วมจัดการสิ่งแวดล้อมภายในชุมชนและบ้านเรือนที่พัก อาศัยของตนเองให้ดีจะได้ไม่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ที่เป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก
ผลงานวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าทุกภาคของประเทศไทย ยุงที่ติดเชื้อไข้เลือดออกมีทั้งยุงลายบ้านและยุงลายสวน โดยเฉพาะภาคใต้ยุงติดเชื้อสูงสุดพบทุกซีโรทัยป์ อัตราการติดเชื้อในยุงลายบ้านร้อยละ 38 และยุงลายสวนร้อยละ 24 แหล่งเพาะพันธุ์สำคัญคือ วัสดุเหลือทิ้งที่ขังน้ำฝน อยู่นอกชายคาบ้านที่ยากจะควบคุม และผลงานวิจัยยังพบอีกว่า ยุงลายมีการถ่ายทอดเชื้อจากแม่ยุงไปสู่ลูกได้ในสภาพธรรมชาติโดยไม่จำเป็น ต้องไปนำเชื้อจากผู้ป่วย
ด้าน น.พ.สมชาย แสงกิจพร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กล่าว เพิ่มเติมว่า สิ่งที่จำเป็นที่สุดขณะนี้คือการป้องกันตัวเองและคนในครอบครัวไม่ให้ยุงกัด โดยใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงที่มีประสิทธิภาพดี ซึ่งประชาชนยังสามารถนำสมุนไพรไทยมาใช้ทาป้องกันยุงกัดได้ สำหรับสารออกฤทธิ์ที่เป็นสมุนไพร หากเป็นสารชนิดเดียว เช่น น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้หอมต้องทาซ้ำทุกครึ่งชั่วโมง เนื่องจากป้องกันยุงลายได้น้อยกว่ายุงรำคาญ และผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรต้องมีสารเสริมฤทธิ์และสารที่ช่วยให้ติดทนนาน
อย่าง ไรก็ตาม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ศึกษาวิจัยแล้วว่า การใช้สมุนไพรหลายชนิดรวมกันจะให้ผลในการป้องกันยุงได้ดีกว่าการใช้สมุนไพร ชนิดเดียว ซึ่งสมุนไพรส่วนที่ออกฤทธิ์เป็นน้ำมันหอมระเหยจะหมดฤทธิ์เร็วกว่าสูตรที่ เป็นดีทหรือไออาร์ นอกจากนี้ยังต้องให้ความรู้กับประชาชนอีกว่าตะไคร้หอมเพื่อป้องกันยุงกัด นั้นจะต้องนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยและทำเป็นสูตรตำรับเฉพาะก่อนจึงจะ สามารถนำไปใช้ได้ การขยี้ ตี ตำ หรือปลูกตะไคร้หอมไว้บริเวณรอบบ้านตามที่เคยเชื่อมานั้นไม่สามารถป้องกันยุง กัดได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
ชู 6 ผักสมุนไพร ช่วยลดเบาหวาน
ชูผักสมุนไพรไทย 6 ชนิด ได้แก่ ตำลึง มะระขี้นก วุ้นว่านหางจระเข้ กะเพรา ใบหม่อน และใบบัวบก มีสรรพคุณลดน้ำตาลในเลือดช่วยผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ดี
นพ.สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้กล่าวในงานแถลงข่าว “สมุนไพรใกล้ตัวและผักพื้นบ้านต้านโรคเบาหวาน” เนื่องในวันเบาหวานโลก วันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า ทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 285 ล้านคน และคาดการณ์ว่าอีก 20 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 438 ล้านคน โดยผู้ป่วย 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย สำหรับประเทศไทย จากข้อมูล
ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในปี 2553 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานทั้งหมด 6,855 คน หรือวันละ 19 คน คิดเป็นอัตราตายด้วยโรคเบาหวานเท่ากับ 10.8 ต่อแสนประชากร หากไม่มีการควบคุมจริงจังคาดว่าจะมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า อีกทั้ง พบผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน 107,225 คน คิดเป็นร้อยละ 10 แยกเป็นภาวะแทรกซ้อนทางตา ร้อยละ 38.5 ไตร้อยละ 21.5 และเท้าร้อยละ 31.6 และผู้ป่วยเบาหวานเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือดและสมองสูงถึง 2-4 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติและมากกว่าครึ่งพบความผิดปกติของปลายประสาทและ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
อธิบดีกรมพัฒนการแพทย์แผนไทยฯ กล่าวอีกว่า กรณีป่วยด้วยโรคเบาหวาน แพทย์แผนไทยจะแนะนำให้ใช้รสชาติอาหารเป็นยา คือ รสขม ซึ่งปัจจุบันมีนักวิชาการจากองค์กรและสถาบันต่างๆทำการศึกษาวิจัยสมุนไพรและ ผักพื้นบ้านของไทย พบว่าหลายชนิดมีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือด อาทิ ตำลึง กะเพรา มะระขี้นก หม่อน เป็นต้น และสมุนไพรเร่งการหายของแผล ได้แก่ บัวบก นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้ป่วยไม่ควรมองข้ามคือการออกกำลังกาย เช่น การเดินแทนการใช้รถ การทำความสะอาดบ้าน รำไทเก๊ก ฤาษีดัดตน เดินกะลา โยคะ หรือเดินในสวน รถน้ำตนไม้ รวมถึง ไม่ควรเครียด อาจจะหากิจกรรมอื่นทำ เช่น ทำบุญตักบาตร นั่งสมาธิ ฟังเทศน์ เพื่อให้จิตใจสงบ และผ่อนคลาย และการนวดเท้าเพื่อกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนโลหิตเลี้ยงอวัยวะส่วนปลายลดอาการ ชา
ด้าน ภญ.ดร.อัญชลี จูฑะพุทธิ รองผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กล่าวว่า ผักพื้นบ้านและสมุนไพรไทยอย่างน้อย 5 ชนิดที่ช่วยในการลดน้ำตาลในเลือด ได้แก่ 1.ตำลึง โดยใช้เถาแก่ๆประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ เพียงแต่จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมว่าการรับประทานในรูปแบบของแกงจืดมี ผลในการลดสาระสำคัญในตำลึงที่ช่วยในการลดน้ำตาลในเลือดหรือไม่ 2.มะระขี้นก วิธีการใช้ หั่นเนื้อมะระตากแห้งชงน้ำดื่ม หรือรับประทานผลสดครั้งละ 6-15 กรัม หรือคั้นน้ำจากผลสด 1 ผลแล้วดื่ม 3.วุ้นว่างหางจระเข้ ใช้โดยวุ้นว่านหางจระเข้หั่นสดประมาณ 1 ช้อนโต๊ะมาปั่นแล้วรับประทานวันละ 2 ครั้ง แต่นักวิจัยระบุว่าสาระสำคัญไม่คงตัว ในการใช้เองที่บ้านอาจต้องใช้แบบหั่นสด 4.กะเพรา นำใบกะเพราตากแห้ง 2-5 กรัมละลายน้ำแล้วดื่ม และ 5.ใบหม่อน มีสาระสำคัญในการลดน้ำตาลในเลือด โดยสารชนิดนี้จะออกมาได้ดีเมื่อนำไปชงแบบชา ทิ้งไว้ 3-5 นาที ซึ่งสารชนิดนี้ช่วยยับยั้งเอนไซม์ย่อยน้ำตาล การดูดซึมกลูโคสลด ระดับน้ำตาลในร่างกายก็จะลดลงด้วย
“สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผลและหายช้ากว่าคนปกติทั่วไป มีการวิจัยพบว่า บัวบกสามารถเร่งการหายของแผลได้เร็วขึ้น โดยปั่นน้ำบัวบกเข้มข้นดื่มต่างน้ำ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่กินสมุนไพรในการช่วยลดน้ำตาลในเลือด ควรแจ้งให้แพทย์แผนปัจจุบันที่ทำการรักษาด้วย เนื่องจากบางครั้งแพทย์อาจจะจัดยาให้ในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว เมื่อรับประทานผักหรือสมุนไพรควบคู่ด้วยอาจทำให้น้ำตาลลดมากเกินไป” ภญ.ดร.อัญชลีกล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
สมุนไพรไทยในป่าเชียงเหียน
ยังคงมีอีกหลายพื้นที่ในประเทศไทย
ที่สมัยก่อนเคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้าวปลา อาหาร และสมุนไพรยารักษาโรค
ที่ยังคงปรากฏให้เห็นได้จนถึงปัจจุบัน หนึ่งในนั้นคือ
พื้นที่บ้านเชียงเหียน ตำบลเขวา อำเภอเมือง จ.มหาสารคาม
ที่เคยเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ และที่สำคัญไปกว่านั้น
รู้หรือไม่ว่าบ้านเชียงเหียนสามารถหารายได้เข้าหมู่บ้านได้ปีละหลายล้านบาท
จากการขายยาสมุนไพรที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ
จากพันธุ์ไม้ท้องถิ่นอีกด้วย
นี่จึงเป็นที่มาของ โครงการเปิดศูนย์เรียนรู้ป่าเชียงเหียน เพื่อขับเคลื่อนระบบสุขภาพชุมชน ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ จาก
การร่วมกับกันของมูลนิธิสุขภาพไทยและภาคีเครือข่าย
ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการให้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ระบบการแพทย์พื้นบ้าน
อาหารท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าอีกด้วย
จาก การลงพื้นที่เพื่อศึกษาบ้านเชียงเหียนพบว่า ประชาส่วนใหญที่นี่มีอาชีพทำนา แต่ที่น่าสนใจคือ อาชีพเสริมที่ทำรายได้อย่างมหาศาลคือการขายสมุนไพร ซึ่งในปี 2549 มีการสำรวจพบว่าป่าแถวนี้เคยอุดมสมบูณ์ด้วยพันธุ์ไม้ถึง 160 ชนิด แต่หลงเหลืออยู่เพียง 60-70 ชนิดเท่านั้น เมื่อปี 2550 บรรดาหมอยาพื้นบ้านและหมอขายยา จึงร่วมกับชาวบ้าน ปลูกต้นไม้คืนให้แก่ป่า เพื่อในอนาคตพวกเขาต้องการให้ป่านี้เป็นคลังสมุนไพรสำหรับรักษาโรค ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาโบราณของผู้เฒ่าผู้แก่ของที่นี่
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องมีการอนุรักษ์ภูมิปัญญาโบราณเอาไว้ ด้วยการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ภายใต้ “แผนงานสร้างเสริมระบบสุขภาพชุมชนด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ” โดยทำงานรวมกับ 14 จังหวัด 4 ภูมิภาค ส่วนการดำเนินงานนั้นเราก็จะแบ่งออกเป็น 4 ด้าน เริ่มจาก 1.มีการพัฒนารูปแบบการใช้ประโยชน์ภูมิปัญญาตามบริบทวัฒนธรรมชุมชนและ บูรณาการระบบสุขภาพภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการบริการของสาธารณสุข 2.บันทึกภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพเป็นข้อมูล ส่งเสริมการใช้ในชุมชนและพัฒนาระบบฐานข้อมูลดิจิตอล 3.สร้างเสริมความเข้มแข็งของเครือข่าย และสุดท้ายคือการร่วมอนุรักษ์และสร้างเสริมฐานทรัพยากรชุมชนอย่างยั่งยืน
เมื่อการทำงานมีแบบแผนขึ้นมา คณะกรรมการชุมชน ผู้นำชุมชน วัด โรงเรียนและชาวบ้านต่างเห็นพร้องต้องกันว่าควรจะมีการสร้างแหล่งเก็บรวบรวม เพราะพันธุ์และฟื้นฟูสมุนไพรขึ้นด้วยในพื้นที่ป่าโคกหนอง บ้านเชียงเหียน ภายใต้เนื้อที่กว่า 30 ไร่ จึงเกิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ป่าเชียงเหียนเพื่อขับเคลื่อนระบบสุขภาพชุมชน ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ ที่วัดป่าประชาสโมสรบ้านเชียงเหียน จ.มหาสารคาม ซึ่งได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา
จาก ผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นที่พอใจ เพราะปัจจุบันชุมชนป่าเชียงเหียนมีตำรับยามากถึง 17 ตำรับ ไม่ว่าจะยาแก้โรคกระษัย บำรุงไต รักษาเบาหวาน บำรุงเลือด โรคกระเพราะอาหารและอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งยังเกิดเครือข่ายหมอยาสมุนไพร ทั้งผู้ขาย นักเรียน โรงเรียน แม้กระทั่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็เข้ามามีส่วนช่วยเหลือ เกิดเป็นวิสาหกิจชุมชน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างมาก และที่สำคัญมีแหล่งเรียนรู้ที่ทุกคนในชุมชนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่าง ยั่งยืน
นี่ถือเป็นอีกหนึ่งชุมชนตัวอย่างที่ใช้สอยภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ควรอนุรักษ์ได้อย่างคุ้มค่า และสามารถสร้างรูปแบบให้เกิดความยั่งยืนได้ พื้นที่ใดต้องการนำเป็นแบบอย่างสามารถไปศึกษาข้อมูลได้ที่ ศูนย์การเรียนรู้ป่าเชียงเหียนเพื่อขับเคลื่อนระบบสุขภาพชุมชน ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ ที่วัดป่าประชาสโมสรบ้านเชียงเหียน จ.มหาสารคาม หรือติดตามโครงการดีๆ ของมูลนิธิสุขภาพไทยต่อได้ที่ http://www.thaihof.org นะคะ
เรื่องโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ team content www.thaihealth.or.th
จาก การลงพื้นที่เพื่อศึกษาบ้านเชียงเหียนพบว่า ประชาส่วนใหญที่นี่มีอาชีพทำนา แต่ที่น่าสนใจคือ อาชีพเสริมที่ทำรายได้อย่างมหาศาลคือการขายสมุนไพร ซึ่งในปี 2549 มีการสำรวจพบว่าป่าแถวนี้เคยอุดมสมบูณ์ด้วยพันธุ์ไม้ถึง 160 ชนิด แต่หลงเหลืออยู่เพียง 60-70 ชนิดเท่านั้น เมื่อปี 2550 บรรดาหมอยาพื้นบ้านและหมอขายยา จึงร่วมกับชาวบ้าน ปลูกต้นไม้คืนให้แก่ป่า เพื่อในอนาคตพวกเขาต้องการให้ป่านี้เป็นคลังสมุนไพรสำหรับรักษาโรค ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาโบราณของผู้เฒ่าผู้แก่ของที่นี่
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องมีการอนุรักษ์ภูมิปัญญาโบราณเอาไว้ ด้วยการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ภายใต้ “แผนงานสร้างเสริมระบบสุขภาพชุมชนด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ” โดยทำงานรวมกับ 14 จังหวัด 4 ภูมิภาค ส่วนการดำเนินงานนั้นเราก็จะแบ่งออกเป็น 4 ด้าน เริ่มจาก 1.มีการพัฒนารูปแบบการใช้ประโยชน์ภูมิปัญญาตามบริบทวัฒนธรรมชุมชนและ บูรณาการระบบสุขภาพภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการบริการของสาธารณสุข 2.บันทึกภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพเป็นข้อมูล ส่งเสริมการใช้ในชุมชนและพัฒนาระบบฐานข้อมูลดิจิตอล 3.สร้างเสริมความเข้มแข็งของเครือข่าย และสุดท้ายคือการร่วมอนุรักษ์และสร้างเสริมฐานทรัพยากรชุมชนอย่างยั่งยืน
เมื่อการทำงานมีแบบแผนขึ้นมา คณะกรรมการชุมชน ผู้นำชุมชน วัด โรงเรียนและชาวบ้านต่างเห็นพร้องต้องกันว่าควรจะมีการสร้างแหล่งเก็บรวบรวม เพราะพันธุ์และฟื้นฟูสมุนไพรขึ้นด้วยในพื้นที่ป่าโคกหนอง บ้านเชียงเหียน ภายใต้เนื้อที่กว่า 30 ไร่ จึงเกิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ป่าเชียงเหียนเพื่อขับเคลื่อนระบบสุขภาพชุมชน ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ ที่วัดป่าประชาสโมสรบ้านเชียงเหียน จ.มหาสารคาม ซึ่งได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา
จาก ผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นที่พอใจ เพราะปัจจุบันชุมชนป่าเชียงเหียนมีตำรับยามากถึง 17 ตำรับ ไม่ว่าจะยาแก้โรคกระษัย บำรุงไต รักษาเบาหวาน บำรุงเลือด โรคกระเพราะอาหารและอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งยังเกิดเครือข่ายหมอยาสมุนไพร ทั้งผู้ขาย นักเรียน โรงเรียน แม้กระทั่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็เข้ามามีส่วนช่วยเหลือ เกิดเป็นวิสาหกิจชุมชน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างมาก และที่สำคัญมีแหล่งเรียนรู้ที่ทุกคนในชุมชนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่าง ยั่งยืน
นี่ถือเป็นอีกหนึ่งชุมชนตัวอย่างที่ใช้สอยภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ควรอนุรักษ์ได้อย่างคุ้มค่า และสามารถสร้างรูปแบบให้เกิดความยั่งยืนได้ พื้นที่ใดต้องการนำเป็นแบบอย่างสามารถไปศึกษาข้อมูลได้ที่ ศูนย์การเรียนรู้ป่าเชียงเหียนเพื่อขับเคลื่อนระบบสุขภาพชุมชน ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ ที่วัดป่าประชาสโมสรบ้านเชียงเหียน จ.มหาสารคาม หรือติดตามโครงการดีๆ ของมูลนิธิสุขภาพไทยต่อได้ที่ http://www.thaihof.org นะคะ
เรื่องโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ team content www.thaihealth.or.th
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)